ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2113 แสงสว่าง
ตอนที่ 2113 แสงสว่าง
………………..
ฉู่หลิวเยว่คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาอันสั้นจะเกิดเรื่องขึ้นมากมายเช่นนี้
ตามคำพูดของชือรุ่ยเออร์ ตระกูลขุนนางใหญ่แต่ละตระกูลของอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่างก็ได้ยินข่าวเช่นนี้และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจึงรีบมากันที่นี่อย่างต่อเนื่อง
เดิมทีโลกมนุษย์เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทะลวงขั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่บัดนี้กลับปรากฏประตูแดนสวรรค์ใหม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาย่อมต้องการสืบหาความจริง
ถ้าหากเป็นเรื่องโกหก อย่างมากก็เป็นการเดินทางที่สูญเปล่า แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไร
แต่…ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ?
แม้ว่าความเป็นไปได้จะน้อยนัก แต่พวกเขาคงไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ไป
ฉู่หลิวเยว่หันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นผู้คนปรากฏตัวทีละคนๆ ในระยะไกล
หลังจากได้เห็นพระราชวังที่ปลายสุดขอบฟ้า ใบหน้าของคนเหล่านั้นก็แสดงความตื่นเต้นดีใจออกมา และพากันมุ่งหน้าไป
ในทะเลทรายมีคนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดของฉู่หลิวเยว่พุ่งพล่านไปมา
เมื่อช่วงเวลามานี้ถึง นางมั่นใจว่า ผู้ที่ผลักดันจะต้องมีพี่เป่าและคนอื่นๆ อยู่เบื้องหลังเป็นแน่
เพียงแต่ไม่คิดว่า พวกเขายังคงควบคุมประตูแดนสวรรค์ที่ลึกลับมากมายเช่นนี้…
นางเข้าออกทะเลทรายจันทราสีชาดมาหลายครั้งล้วนไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แต่ครั้งนี้ที่พวกเขาทำเช่นนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่น…
เมื่อชือรุ่ยเออร์เห็นนางจมอยู่ในความคิด จึงพูดอย่างเร่งรีบขึ้นว่า
“พวกเราต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นแย่งไป!”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มขึ้น
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก จะต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด ในเมื่อพวกเราพบกันแล้ว ก็ไปด้วยกันเถอะ”
“ในเมื่อพวกเราไปด้วยกัน ระหว่างนี้ก็จะได้ดูแลกัน!”
นางกะพริบตาให้ฉู่หลิวเยว่และพูดขึ้น
“ครั้งนี้ข้าพาผู้อาวุโสบางท่านที่เก่งกาจที่สุดในเฟยซิงเหมินของพวกเรามาด้วย!”
สายตาของฉู่หลิวเยว่กวาดมองบนร่างหลายๆ คนที่อยู่ด้านหลังนาง ทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เฟยซิงเหมินได้ใช้ความพยายามอย่างมาก
มุมปากของนางโค้งงอเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
ชือรุ่ยเออร์ยังถือโอกาสมองดูหลายคนที่อยู่ด้านข้างฉู่หลิวเยว่
นางคุ้นเคยกับหรงซิวเป็นอย่างดี และเขาก็ยังคงเหมือนเมื่อก่อนด้วนพลังที่มิอาจคาดเดาได้
แต่ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งนิ่งเฉยไม่แยแสและมิอาจเห็นขั้นพลังปราณได้ ส่วนอีกคนหนึ่งรอบคอบและเงียบขรึม แต่สามารถมองออกได้ว่าขั้นพลังปราณอยู่ในระดับเทพขั้นสูง
สุดท้ายสายตาของนางก็ตกลงไปบนร่างของอี้เจากับโหมวเจินทั้งสอง จากนั้นความประหลาดใจก็แวบเข้ามาในดวงตาของนาง
นางมองไม่เห็นขั้นพลังปราณของสองคนนี้ แต่ความกดดันบนตัวของพวกเขายากที่จะเมินเฉยได้ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา!
เพียงแต่ท่าทางของสองคนนี้ดูแล้วแปลกหน้ายิ่งนัก
“สองท่านนี้คือ…”
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยรอยยิ้มขึ้น
“ขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือผู้อาวุโสอี้เจา และท่านนี้คือผู้อาวุโสโหมวเจิน”
เมื่อเสียงที่สดใสร่าเริงดังขึ้น ชือรุ่ยเออร์จึงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบิกตาโพลงขึ้นอย่างช้าๆ และพูดขึ้น
“จะ จะ เจ้าหมายถึง…”
อี้เจา!
ฉู่หลิวเยว่อธิบายขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสทั้งสองยังสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของประตูแดนสวรรค์นั้น จึงรีบมาที่นี่เป็นคนแรก”
ชือรุ่ยเออร์ สูดลมหายใจเย็นๆ
เป็นพวกเขาจริงๆ!
หัวหน้าของกลุ่มอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสอง ต่างมาปรากฏตัวที่นี่พร้อมกันหรือ!
เป็นเพราะตื่นตกใจเกินไป ชือรุ่ยเออร์ที่สุภาพมาโดยตลอดกลับเสียสูญไปช่วงหนึ่ง อีกทั้งภายในใจก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ นางอ้าปากแต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่อยู่ด้านหลังนาง ก็ไม่อาจซ่อนสีหน้าตื่นตกใจไว้ได้จึงรีบพูดขึ้น
“คาราวะผู้อาวุโสอี้เจา และผู้อาวุโสโหมวเจิน!”
เมื่อชือรุ่ยเออร์กลับมาได้สติ จึงรีบก้มทำความเคารพ
อี้เจายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเช่นเดิม ส่วนโหมวเจินเป็นคนอ่อนน้อมอย่างมาก พลางพูดด้วยเสียงหัวเราะขึ้นว่า
“ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจ! ที่พวกข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุ แม้ว่านางหนูเยว่เออร์วางแผนจะเดินทางไปกับพวกเจ้า เช่นนั้นต่อไปพวกเราก็จะคอยช่วยเหลือกันได้มากขึ้น”
คำพูดที่เกรงใจและเป็นกันเอง ช่างสุภาพอ่อนโยนยิ่งนัก
ชือรุ่ยเออร์และผู้เดินทางคนอื่นๆ ต่างรู้สึกยินดีราวกับไม่คาดคิดมาก่อน
“มิกล้า มิกล้า!”
ใครจะรู้ว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสองล้วนเย่อหยิ่งยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองท่านนี้เป็นท่านประมุข สถานะก็ยิ่งสูงเกินเอื้อมได้
ปกติหากต้องการพบพวกเขาสักครั้งก็ยากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย!
ตอนนี้พวกเขายังสามารถเผชิญหน้าพูดคุยกับสองท่านนี้ได้ และยังกลายเป็น “พันธมิตร”… หากพูดออกไปเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ
และทั้งหมดนี้เห็นได้ชัดว่าต้องขอบคุณฉู่หลิวเยว่กับหรงซิว
แม้ว่าสุดท้ายทั้งสองคนได้แต่งงาน แต่เป็นที่รู้กันดีในอาณาจักรเสิ่นซวี่ที่สองท่านนี้คือการมีอยู่ที่มิอาจอยู่ร่วมกันได้ล้วนไปเฉลิมฉลองที่พระราชวังเมฆาสวรรค์มาด้วยกัน
…
ทั้งคณะยังคงมุ่งหน้าไปพระราชวังนั่นต่อไป
อาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของอี้เจากับโหมวเจิน ทำให้ชือรุ่ยเออร์และหลายคนต่างกังวลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอย่างอับจนหากทาง แต่กลับไม่ได้พูดอันใด
เรื่องที่ไม่อาจทำอะไรได้เช่นนี้
ด้านหนึ่งอี้เจากับโหมวเจินมีชื่อเสียงที่ด้านนอก ความน่าเคารพนับถือต่อพวกเขาฝั่งแน่นอยู่ในใจของทุกคน อีกด้านหนึ่งพวกเขาทั้งสองพลังแกร่งกล้า แม้ว่าจะจงใจควบคุมพลังปราณ แต่ก็ยังมีแรงกดดันที่คลุมเครือ
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ผู้คนก็ปรากฏตัวขึ้นในทะเลทรายมากขึ้นเรื่อยๆ
หลายคนให้ความสนใจกับกลุ่มเดิมทางของฉู่หลิวเยว่กับหรงซิว
เดิมที่ทั้งสองคนรูปงามหาใครเปรียบ ไม่ว่ายืนอยู่ที่ใดล้วนโดดเด่นยิ่งนัก ยิ่งมีคนค่อยๆ จดจำอี้เจากับโหมวเจินได้มากขึ้น ก็จะยิ่งดึงดูความสนใจได้ไม่น้อย
สิ่งนี้ยังทำให้คนเดิมเหล่านั้นที่ต้องการเข้ามาทักทายและสร้างความสัมพันธ์ได้ล้มเลิกความคิดในใจไป
ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางพระราชวังแห่งนั่นโดยไม่ต้องพูดอันใด
เรื่องทั้งนี้ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของฉู่หลิวเยว่ เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ในใจของนางจึงมีเพียงความคิดหนึ่งขึ้นเท่านั้น
ทะเลทรายจันทราสีชาดอาจไม่เคย “ครึกครื้น” เช่นนี้มาก่อน
และทุกอย่างนี้ล้วนเริ่มต้นจากดวงตาข้างเดียวเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่พยายามเรียกถวนจื่อกับจื่อเฉินในใจอยู่หลายครั้ง แต่กลับยังไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด
…
ยามค่ำคืนใกล้จะมาถึงแล้ว
อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ค่ำคืนอันมืดมิด และมีน้ำค้างแข็งสีขาวปรากฏขึ้นบนพื้น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของแต่ละคนดังมาจากบริเวณรอบๆ
“นี่มันคือที่ใดกัน แม้ว่ากลางวันจะร้อนขนาดนั้น แต่ไม่คาดคิดว่ากลางคืนจะหนาวเย็นขนาดนี้!”
“ยิ่งแปลกกว่านั้นก็คือ ในความมืดมิดนี้ยังคงเห็นพระราชวังนั่นอยู่!”
ความลับของการทะลวงขั้นระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ และก้าวข้ามธรณีประตูนั่นไม่ได้ซ่อนไว้ด้านในหรอกหรือ ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะถูกเก็บอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติกระมัง…”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ฉู่หลิวเยว่ก็จ้องมองไปทางข้างหน้า
ค่ำคืนอันมืดทึบปกคลุมพื้นดินอันกว้างใหญ่ บนท้องฟ้าไร้ซึ่งดวงดาวและจันทรา
ทว่าปลายสุดของทะเลทรายอันห่างไกล พระราชวังนั่นกลับสว่างสุกใส และเจิดจรัสงดงาม
มันตั้งตระหง่าระหว่างสวรรค์และโลกอย่างเงียบสงัด ราวกับอยู่มานานนับหมื่นปีอันเป็นนิรันดร์
แม้ว่าบริเวณโดยรอบยังปกคลุมไปด้วยหมอกจนมิอาจมองเห็นได้ชัดเจน แต่กลับยังคงสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ที่ห่างไกลจากพระราชวังนั่น
ทันใดนั้นความผันผวนที่แปลกประหลาดแพร่กระจายมาจากแหวนเฉียนคุน!
นางตื่นตกใจขึ้นมาในทันที
การเคลื่อนไหวนี้…แท้จริงแล้วมาจากโล่ผสานนภา!
นางแยกจิต และเข้าไปค้นหาในแหวนเฉียนคุนที่อยู่ในมือ
บนโล่ผสานนภามีแสงเปล่งประกายระยิบระยับ
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงในทันที
เพราะจู่ๆ นางก็ค้นพบว่าแสงสว่างบนโล่ผสานนภา ราวกับแสงรัศมีที่อยู่รอบๆ พระราชวังที่เหมือนกันทุกประการ!
………………..