ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2127 ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน
ตอนที่ 2127 ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน
………………..
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่เย็นชา จากนั้นนางก็พูดออกมาทีละคำว่า
“ข้าจะพูดอีกรอบ และจะพูดเป็นรอบสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าเลย! ส่วนเรื่องถวนจื่อ… เห็นได้ชัดว่านางถูกคนควบคุม หรือว่าพวกเจ้ามองไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางของถวนจื่อ ภายในใจของนางก็รู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งนางได้ยินคำสบประมาทของเนี่ยหรูอวิ๋น ความอดทนของนางก็หมดลง
“เดิมทีถวนจื่อก็เป็นนายน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำ อีกทั้งยังมีสายเลือดบริสุทธิ์ที่หมื่นปีจะพบเจอสักครั้ง! นางจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้เพื่อเลื่อนขั้นของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
เนี่ยหรูอวิ๋นสำลักไปทันที ก่อนกัดฟันกรอด
“เรื่องแบบนี้ มีเพียงแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด! ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ทุกคนก็มองเห็นอย่างชัดเจน!”
เนี่ยหงเจี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม เขาช่วยป้อนโอสถยืดอายุให้แก่เนี่ยหรูอวิ๋นหนึ่งเม็ด จากนั้นก็หันมองทางฉู่หลิวเยว่ แล้วพูดเสียงทุ้มว่า
“ที่หงเจี่ยพูดนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นายท่านเยว่ เรื่องนี้ท่านจะอธิบายว่าอย่างใด?”
หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดรอบตัวนางนั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก
ตัวอย่างเช่น ม่านพลังด้านนอกพรมแดนที่หากมีใครสัมผัสก็จะตายทันที แต่นางกลับสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
และยังมีจัตุรัสหยกดำที่อยู่ด้านนอกกลับมีส่วนหนึ่งขาดหายไป แต่มันกลับผสานเข้ากับโล่สีดำของนางได้พอดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ สัตว์อสูรในพันธสัญญาของนางพุ่งตัวขึ้นมาจากด้านล่าง แล้วยังแย่งชิงพลังปราณดั้งเดิมของทุกคนด้วย!
ในตอนแรกยังใช้คำว่า “บังเอิญ” มาอธิบายได้ แต่ตอนนี้ดูจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าอย่างใดก็ไม่น่าจะเรียกว่าอุบัติเหตุได้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดกรอด
เมื่อเปรียบเทียบกับความกังวลของคนเหล่านี้ ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นห่วงถวนจื่อมากกว่า
ตอนนี้ถวนจื่อสูญเสียสติไปแล้ว แม้กระทั่งอี้เจาและนาง ถวนจื่อยังจำไม่ได้
หมอกดำที่อยู่โดยรอบยังคงแผ่ขยายไปที่โซ่ตรวนนั้นอย่างต่อเนื่อง
“ใช่แล้ว! นี่มันเรื่องอันใดกันแน่? เจ้าอยากจะไล่ฆ่าพวกเราจริงๆ น่ะหรือ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าเชื่อใจเจ้ามาก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทำแบบนี้? หรือว่าเรื่องเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ เจ้าก็จงใจทำมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”
“ซั่งกวนเยว่! เจ้าพูดออกมาสิ!”
เสียงซักถามและตะโกนไล่หลังดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง!
ดูจากท่าทางแล้ว หากฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถให้คำตอบที่พวกเขาพอใจได้ พวกเขาก็อยากจะรุมโจมตีไปแบบนี้
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเยาะหนึ่งก็ดังขึ้น
“น่าสนุกจริงๆ เลย!”
ทุกคนชะงักไป จากนั้นก็พบว่าคนที่พูดคือ โหมวเจิน
เขาสาวเท้าก้าวขึ้นมา ก่อนกวาดสายตามองไปโดยรอบ แววตาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เขากวาดสายตามองไปทีละคน
กลุ่มคนที่ยังรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ก็เงียบเสียงไป หัวใจสั่นสะท้าน
สีหน้าของโหมวเจินเต็มไปด้วยความประชดประชัน
“ตั้งแต่ต้นจนจบ นังหนูเยว่เออร์เป็นคนบังคับให้พวกเจ้ามาที่นี่หรือ? เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพวกเจ้านั้นมีแต่ความโลภ อยากได้ของวิเศษ ถึงได้ทะลวงม่านพลังจากอาณาจักรเสิ่นซวี่เข้ามา และก็เป็นพวกเจ้าเองที่เลือกจะเดินทางมาที่พระราชวังแห่งนี้! แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับพูดว่า นางวางกับดักเอาไว้เพื่อหลอกลวงพวกเจ้าน่ะหรือ? สมองของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว?”
โหมวเจินพูดอย่างตรงไปตรงมาซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังมาก คนจำนวนมากได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงก่ำขึ้นทันที ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความโมโห แต่พวกเขาก็หวาดกลัวแรงกดดันของโหมวเจิน ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอันใดออกไป และทำได้เพียงต้องระงับโทสะที่พลุ่งพล่านภายในใจ
โหมวเจินพูดต่อด้วยความเย็นชาว่า
“พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดข้ากับอี้เจาถึงต้องมาที่นี่ล่ะ? นั่นก็เป็นเพราะถวนจื่อกับจื่อเฉินเกิดเรื่องน่ะสิ! หลังจากพวกเรามาถึงแล้วถึงได้รู้ว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองนั้นหายตัวไปในทะเลทรายจันทราสีชาดอย่างไร้ร่องรอย ช่วงที่ผ่านมานี้เยว่เออร์จึงตามหาพวกเขาอยู่ตลอดเวลา! หากคนมีตาก็ต้องรู้ว่าถวนจื่อนั้นผิดปกติไป แต่พวกเจ้ากลับโยนความผิดนี้ให้กับเยว่เออร์งั้นหรือ?”
ทุกคนพูดอันใดไม่ออก
เนี่ยหงเจี่ยขยับริมฝีปาก ในที่สุดเขาก็โต้เถียงออกมาอย่างอดไม่ได้
“อีกทั้ง ต่อให้นางเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แล้วนางจะไม่รับผิดชอบอันใดหน่อยหรือ? ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็คือสัตว์อสูรในพันธสัญญาของนาง นางควรจะดูแลสัตว์ตัวนั้นให้ดีเองไม่ใช่หรือ?”
เนี่ยหรูอวิ๋นกัดฟันแล้วพูดอย่างขมขื่น
“ถ้านางไม่ได้เปิดม่านพลังนั้นขึ้นมา พวกเราทุกคนก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้!”
โหมวเจินโมโหจนแค่นหัวเราะ
“ตลอดพันปีที่ผ่านมา เผ่ามนุษย์ก็ยังเป็นเผ่าที่น่ารังเกียจอยู่วันยันค่ำ…”
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างราบรื่นเพราะการช่วยเหลือของฉู่หลิวเยว่ พวกเขายังไม่รู้สึกซาบซึ้งอันใดแล้ว ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย อีกฝ่ายก็ยังโยนความผิดให้กับนาง
อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสองเผ่าล้วนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ที่ว่า ‘อย่าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์’
ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง
ภายใต้ผลประโยชน์ มีคนบางกลุ่มสามารถทำได้ทุกอย่าง
ดูจากในวันนี้แล้ว เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เขาหันกลับไปมองหน้าฉู่หลิวเยว่ และเห็นว่านางมีสีหน้าราบเรียบ เหมือนจะไม่มีความโกรธเคืองเลย
สายตาของนางจ้องไปที่ถวนจื่อตาเขม็ง แล้วพูดเสียงเบาว่า
“รอข้าช่วยถวนจื่อกลับมาก่อน แล้วค่อยพูดกับพวกเขาก็ยังไม่สาย!”
เมื่อพูดจบ นางก็สะกิดปลายเท้า แล้วพุ่งตัวไปทางถวนจื่อ!
อี้เจาขมวดคิ้วขึ้น พร้อมเดินขึ้นไปขวางนางไว้
“อันตราย”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ผู้อาวุโสอี้เจา หากข้าไม่ไป เกรงว่าบนโลกนี้จะไม่มีใครสามารถไปได้แล้ว”
ถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญา เป็นสหาย เป็นญาติคนสนิทของนาง
พวกนางร่วมทุกข์ร่วมสุขกันนานมานาน ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ก็ไม่เคยจะละทิ้งกัน
ครั้งนี้นางก็ไม่มีทางละทิ้ง
อี้เจาหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็ขยับฝีเท้าเดินไป
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าขึ้นไป จากนั้นก็ยื่นมือไปตรงหน้าถวนจื่อ
“ถวนจื่อ ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน”
พรึ่บ!
กลางหน้าผากของถวนจื่อมีสัญลักษณ์หนึ่งปรากฏขึ้น!
พลังโดยรอบระเบิดขึ้นทันที!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง คาดไม่ถึงว่าถวนจื่อจะเปิดเส้นชีพจรเส้นที่หกแล้ว!
………………..