ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2132 โอกาส
ตอนที่ 2132 โอกาส
………………..
“ตึง”
ประตูหินปิดลงแล้ว!
เหมือนว่าเฉินอีจะสามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่หันกลับไปมอง
เชียงหว่านโจวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
ช่วงนี้เขารู้สึกแบบนี้เป็นประจำ เขารู้สึกเหมือนว่ามีอันใดบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมาจากภายในสมอง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับมาสู่ความสงบ
และครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลังจากผ่านไปสักพัก อาการเจ็บปวดก็ทุเลาลง เหลือเพียงเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายตามแผ่นหลังเท่านั้น
เมื่อลมพัดมา ทำให้เขารู้สึกหนาวเล็กน้อย
เขาส่ายหน้า แล้วรีบระงับความรู้สึกเหล่านั้นทันที ก่อนจะกลับมามีท่าทีเย็นชา เรียบเฉยดั่งเช่นปกติ
โหมวเจินเหลือบสายตามองเขาอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ถอนสายตาออกไป
…
ทุกคนกำลังเริ่มต้นรอ
การรอคอยในครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งเดือน
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ในช่วงเวลานี้พลังแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่โดยรอบกลับไหลเข้าไปสู่ภายในพระราชวังนั้นอย่างต่อเนื่อง
และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้คนที่รออยู่ด้านนอกท้องพระโรง รู้สึกว่าได้รับพลังแห่งสวรรค์และโลกมากเกินขนาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ในตอนแรกทุกคนก็ตกใจมาก แต่หลังจากนึกได้ว่า ฉู่หลิวเยว่มีเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว และสามารถกลืนกินพลังแห่งสวรรค์และโลกเหล่านี้ได้ พวกเขาก็รู้สึกเข้าใจ
ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกม่านพลัง หลังจากเขาออกมาได้ไม่นาน ม่านพลังก็ปิดตัวลง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในได้อย่างชัดเจน เขาสามารถมองเห็นแค่พลังที่วิ่งวนอยู่เหนือพระราชวังแห่งนั้นได้อย่างเลือนราง
รอบข้างของนางนั้นปกคลุมด้วยแสงดาวสีเงินแดงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
ประกายแสงเหล่านั้นรวมตัวกันราวกับกระแสน้ำ และไหลวนอยู่รอบตัวนางอย่างเชื่องช้า
มีเพียงขอบด้านข้างเท่านั้นที่จะมีรอยแตกของมิติสีดำ
… ซึ่งนั่นคืออาณาเขตเซียนเทพของฉู่หลิวเยว่!
พลังที่พวยพุ่งจากโดยรอบหลอมรวมเข้ากับอาณาเขตเซียนเทพอย่างไร้เสียง หลังจากผ่านการชำระล้างและหลอมรวมแล้ว มันก็ไหลไปตามแขนขาทั้งสี่ข้างของนาง
ซึ่งเป็นการช่วยทำให้การบำเพ็ญเพียรของนางนั้นได้ผลมากยิ่งขึ้น
นางหลับตาทั้งสองข้างลง ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน ลมปราณที่อยู่บนตัวของนางนั้นเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้วหากครุ่นคิดอย่างละเอียด นางก็ทะลวงมาสู่ระดับเทพขั้นสูงนานแล้ว
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปแล้ว หากต้องการจะทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย
ช่องว่างระหว่างสองระดับนั้นกว้างมาก หากอาศัยเพียงความขยันในการบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะเลื่อนขั้นได้แน่นอน
บางคนบำเพ็ญเพียรมาตลอดทั้งชีวิต แต่อาจจะหยุดอยู่ที่ธรณีประตูของระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ และไม่สามารถก้าวผ่านไปได้อีก
ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอย่างฉู่หลิวเยว่ที่สามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่า นางจะสามารถทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่ฉู่หลิวเยว่จะต้องทะลวงด่านในครั้งนี้ให้ได้!
แต่โชคดีที่นางมีชีพจรเทียนจิงมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งหลังจากที่นางทำพันธสัญญาร่วมชีวิตกับ
ถวนจื่อ เส้นชีพจรของนางก็ได้รับพลังเต็มที่ ดังนั้นจึงทำให้แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
อีกทั้งภายในตันเถียนมีขุมพลังที่เก็บกักอยู่ในไข่มุกธาราเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน!
ด้วยเงื่อนไขทั้งสองอย่างนี้ หากฉู่หลิวเยว่ต้องการจะเลื่อนระดับสู่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
…
หรงซิวยืนอยู่ข้างกายนางไม่ไกล ตอนนี้เขากำลังมองแผ่นหลังของนางอยู่ พร้อมเอามือสองข้างไพล่หลัง
เขาเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาดวงนั้นอย่างเย็นชา
แต่อย่างใดก็ตามภายในดวงตานั้นกลับแฝงด้วยความชั่วร้าย
“คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะเต็มใจร่วมเดินทางกับนางจริงๆ น่าเสียดายมาก! อีกนิดเดียวเท่านั้น…”
เสียงที่ห่างไกลดังกระทบโสตประสาทของเขา
หรงซิวรู้ดีว่า เสียงนั้นจงใจให้เขาได้ยินเพียงผู้เดียว ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านหลังไม่สามารถได้ยิน
เขาพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“แม้ร่างกายจะพิกลพิการ แต่ก็นับว่ากล้าหาญมาก”
คำพูดนี้เหมือนแทงใจดำอีกฝ่ายมาก ความโกรธระคนชั่วร้ายพวยพุ่งขึ้นมาภายในแววตาของเขา!
“แล้วมันอย่างใดล่ะ! ตอนนี้พวกเจ้าก็ถูกขังอยู่ที่นี่เหมือนกับข้า! ข้าเป็นคนควบคุม! หรงซิว หากเป็นที่นี่ เจ้าไม่กล้าลงมือจริงๆ หรอก!”
สีหน้าของหรงซิวยังคงสงบราบเรียบ
“แล้วมันอย่างใดเล่า?”
เขารู้ดีว่าขีดจำกัดของม่านพลังนี้อยู่ที่ใด ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้… เขาก็ยังไม่ข้ามขีดจำกัดนั้น
เขาลงมือไม่ได้ แต่นางทำได้
ตราบใดที่นางสามารถทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์…
เขาหลับตาลง และไม่ได้พูดอันใดอีก
…
ทะเลทรายจันทราสีชาด
ยามราตรีเวียนมาถึง ดวงจันทร์สีชาดเต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า
คืนนี้ก็เป็นพระจันทร์สีเลือดอีกครา
ม่านพลังสีแดงจางๆ เหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกอีกชั้น
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะทอดมองไปสุดขอบทะเลทราย
ที่แห่งนั้นมีพระราชวังส่องแสงระยิบระยับ เลือนราง คล้ายมีคล้ายไม่มี
“ทางนั้นยังไม่จบหรือ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าและหลานเซียวเดินสาวเท้าขึ้นมาพร้อมกัน เขามองไปทางนั้นแล้วชะงักเล็กน้อย
ตู๋กูโม่เป่าถอนสายตากลับมา
“เวลาเหลือไม่มากแล้ว เริ่มกันเถอะ”
หลานเซียวกระแอมไอ
“พวกเรามาทำข้อตกลงกันก่อนเถอะ ตอนนี้ร่างกายของข้าไม่สามารถทนรับการทรมานได้แล้ว ดังนั้นได้โปรดเบามือ…”
เกล็ดสีม่วงทองพุ่งตัวออกจากกลางฝ่ามือของตู๋กูโม่เป่าในทันที เมื่อเกล็ดนั้นสัมผัสกับสายลม ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
เขาหันไปมองทางหลานเซียวอย่างเย็นชา
“ถ้าไม่อยากตายก็เร็วหน่อย”
หลานเซียวบุ้ยปาก แล้วเดินเข้าไปนอนอยู่ตรงกลางค่ายกลนั้น
ผู้อาวุโสลำดับห้าก็ถามขึ้นอย่างประหม่าว่า
“พี่เป่า ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลจริงๆ หรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าพูด
“ได้หรือไม่ได้ก็ต้องลอง ตอนนี้ไอ้ตัวนั้นกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับเยว่เออร์และหรงซิว หากไม่ลงมือตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าโอกาสครั้งหน้าจะต้องรออีกนานแค่ไหน”
เมื่อพูดจบเขาก็โบกมือขึ้น
ทันใดนั้นท่ามกลางทะเลทรายก็มีลมพายุพัดขึ้นอย่างรุนแรง!