ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2146 เขาเป็นอย่างใดบ้าง
ตอนที่ 2146 เขาเป็นอย่างใดบ้าง
………………..
เว่ยเจ๋อตกใจแล้วรีบถอยหลังออกไปทันที!
แต่ความเร็วของลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นก็เร็วกว่าเขา!
เพียงชั่วพริบตามันก็มาอยู่ต่อหน้าเว่ยเจ๋อแล้ว จงอยปากแหลมจิกเข้าที่ใบหน้าของเว่ยเจ๋อโดยตรง!
เว่ยเจ๋อสะบัดชายแขนเสื้อขึ้น ตั้งใจจะวางม่านพลังขวางกั้นตรงหน้า แต่เขายังไม่ทันทำอันใด ความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแขนก็แผ่กระจายออกมา!
เขาเดินถอยหลังไปหลายก้าวแล้วหลุบตามอง จากนั้นก็ต้องตกใจที่พบว่าชิ้นเนื้อของเขานั้นหลุดออกมาหลายชิ้น!
เลือดสดๆ ไหลริน น่าตกใจมาก!
สัตว์เดรัจฉานตัวนี้…
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองรูม่านตาก็หดเล็กลง
คาดไม่ถึงว่าลูกครึ่งแร้งวิเศษกลืนเลือดและเนื้อของเขาลงท้องไปแล้ว!
ดวงตาคู่นั้นประกายเย็นชา แล้วจ้องมองมาที่เขาตาเขม็ง แสงสีเขียวจากดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโลภและตื่นเต้น
มัน มันกำลังเห็นว่าเขาเป็นอาหารอยู่จริงๆ
แกว๊ก!
มันเงยหน้าแล้วร้องเสียงดัง ปีกสยายขึ้น เหมือนกับต้องการจะพุ่งตัวออกมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง จวินจิ่วชิงก็ยกมือขึ้น
จากนั้นลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นก็ควบคุมลมปราณภายในร่างกายของตัวเอง แต่ว่าแววตายังจ้องมองเว่ยเจ๋อด้วยความกระหายเลือดเช่นเดิม
ขอเพียงแค่จวินจิ่วชิงปล่อยตัวมัน มันก็จะรีบพุ่งเข้ามาแล้วฉีกทึ้งเว่ยเจ๋อเป็นชิ้นๆ แล้วกินเข้าไป!
“ประมุขเว่ย นี่เป็นแค่คำเตือน คำบางคำพูดได้ แต่คำบางคำพูดไม่ได้ เรื่องบางเรื่องทำได้ แต่เรื่องบางเรื่องทำไม่ได้ ด้วยหลักเหตุผลนี้ ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องสั่งสอนเจ้าหรอกมั้ง?”
เขากัดฟันกรอด แล้วระงับโทสะที่สุมอยู่ในทรวง เพลิงแห่งโทสะนั้นเหมือนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว!
แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะประนีประนอม
“เว่ยเจ๋อเข้าใจแล้ว!”
เมื่อพูดจบเขาก็หมุนตัวจากไปโดยเร็ว
หลังจากเงาร่างของเขานั้นหายลับสายตาไปแล้ว จวินจิ่วชิงก็หันกลับมามองลูกครึ่งแร้งวิเศษที่อยู่บนแขนของตัวเอง แล้วหรี่ตาเล็กน้อย เขาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“ไม่กลัวสกปรกหรือไง”
ลูกครึ่งแร้งวิเศษที่เคยเย่อหยิ่งยโสกลับหดคอลง เห็นได้ชัดว่ามันหวาดกลัวเขาอย่างมาก
ยังดีที่จวินจิ่วชิงไม่ได้ตำหนิมันต่อ
“ใครก็ได้”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า
“นายท่าน”
จวินจิ่วชิงจัดขนให้ลูกครึ่งแร้งวิเศษแล้วพูดเสียงเรียบว่า
“จัดการคนที่ส่งไปให้ติดต่อกับตระกูลเว่ยให้เรียบร้อย”
“ขอรับ!”
“ส่วนตระกูลเว่ย…คุ้มครองแค่เว่ยเจ๋อและเว่ยซีผิงก็พอแล้ว”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
จวินจิ่วชิงโบกมือขึ้น เงาดำนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ความเงียบสงบกลับมาสู่หน้าผาแห่งนั้นแล้ว
เขามองไปที่สุดขอบฟ้า ระลอกคลื่นจากทางฝั่งนั้นเหมือนว่าจะค่อยๆ หายไปแล้ว
“ดูเหมือนจะจบแล้วสินะ…”
…
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่ออกมาจากม่านพลังเปิดใหม่
หลังจากเข้ามาสู่อาณาจักรเสิ่นซวี่ นางก็หันกลับไปมองอีกครั้ง
ม่านพลังนี้ไม่ได้แตกต่างจากม่านพลังที่นางเคยเห็นมากนัก เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีคนมาเฝ้าระวัง
ไม่ว่าจะเป็นม่านพลังใดก็มีการแข่งขันสูงมาก ท้ายที่สุดแล้วมันก็แสดงให้เห็นถึงสถานะและความแข็งแกร่ง
หรงซิวหันมองทางนาง “เป็นอันใดไป เจ้าชอบม่านพลังนี้แล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ายอมรับอย่างไม่ปิดบัง
“อื้อ”
ถ้าเดาไม่ผิดละก็ นี่น่าจะเป็นม่านพลังที่พี่เป่าสร้าง
หากสามารถควบคุมมันได้ หลังจากนี้ถ้าพวกเขาต้องการจะติดต่อกันก็เป็นเรื่องที่สะดวกมากขึ้น
นางกวาดสายตามองโดยรอบ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“สำหรับข้าแล้วม่านพลังนี้มีความสำคัญมาก ไม่ทราบว่าทุกท่านจะหลีกทางให้ข้าได้หรือไม่?”
เหยาปินประสานหมัดแล้วพูดว่า “นายท่านเยว่เกรงใจกันเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถหนีรอดจากหายนะครั้งนี้ได้ เดิมทีม่านพลังนี้ก็สมควรเป็นของท่านอยู่แล้ว อย่าพูดคำว่า ‘หลีกทาง’ เลย”
“ใช่แล้ว! เยว่เออร์ ม่านพลังใหม่ปรากฏขึ้น ดังนั้นเมื่อจำเป็นจะต้องมีเจ้านายคนใหม่ และภายในที่แห่งนี้ ไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่าเจ้าแล้ว”
ชือรุ่ยเออร์พยักหน้าเห็นด้วย
เรื่องนี้ทุกคนเข้าใจกันเองโดยไม่จำเป็นต้องพูด
เดิมทีพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแย่งชิงกับฉู่หลิวเยว่ด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่างต่อให้อยากจะต่อสู้จริงๆ เกรงว่าก็คงจะสู้ไม่ไหว สุดท้ายอาจจะต้องทิ้งชื่อเสียงของตัวเองไป
ถ้าอย่างนั้นถอนตัวจากการแข่งขันจะดีที่สุด
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่กดเป็นรอยยิ้มลึก
“ในเมื่อเรื่องนี้จบแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ขอตัวกลับก่อน หวังว่าทุกท่านจะเดินทางปลอดภัย”
หลังจากกล่าวคำลากับทุกคน ในที่สุดพวกเขาก็ต่างแยกย้ายกันไป
ฉู่หลิวเยว่หันมองทางเฉินอี
“เฉินอี เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ช่วยข้าเฝ้าม่านพลังแห่งนี้ที”
“ขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่หันไปประสานมือทำความเคารพโหมวเจินและอี้เจา
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกท่านทั้งสองมาก”
โหมวเจินโบกมือ
“ขอบคุณอันใดกัน? ความจริงพวกเราก็ไม่ได้ช่วยอันใดมากเลย หากว่ากันตามตรงแล้ว มีแค่เจ้ากับหรงซิวที่ลงแรงมากที่สุด”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าจริงใจมาก
“เดิมทีพวกท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องมาด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงต้องขอบคุณพวกท่านทั้งสองมาก”
เดินทางมาเป็นหมื่นลี้เพื่อมาช่วยเหลือ น้ำใจนี้ล้ำค่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้ทุกคนภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่จะต้องคิดว่านางมีเผ่าหงส์ทองคำและเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงคอยหนุนหลังอยู่แน่นอน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้อสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสองเผ่าแทบจะไม่มายุ่งเรื่องของมนุษย์เลย แต่หลังจากนี้พวกเขาจะต้องเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
อี้เจาพูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า
“ถวนจื่อเป็นนายน้อยของเผ่าข้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของนาง เผ่าหงส์ทองคำย่อมไม่สามารถละเลยได้”
ฉู่หลิวเยว่หันมองทางเขา แล้วถอนหายใจออกมา
อี้เจารักและเอ็นดูถวนจื่อมากจริงๆ
เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่พวกนางไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง อีกฝ่ายกลับแผ่แรงกดดันมาอย่างรุนแรง
แล้วนางจะนึกได้อย่างใดว่าตอนนี้จะเป็นเช่นนี้แล้ว?
“ถูกต้อง แม้ว่าจื่อเฉินจะไม่ใช่ไท่ซวีเฟิ่งหลง แต่ร้ายดีอย่างใดเขาก็มีสายเลือดของพวกเราอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็เคยช่วยเหลือข้ามาก่อน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก!”
โหมวเจินพูดแล้วหัวเราะขึ้น
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้น…พวกเราขอตัวกลับท่าเรือดอกท้อก่อนนะเจ้าคะ”
อี้เจาพูด
“ข้าก็จะกลับพร้อมกับพวกเจ้า”
เขาหยุดชะงัก แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ข้าจะต้องกลับไปดูด้วยตัวเองว่าถวนจื่อไม่เป็นอันใด ข้าถึงค่อยวางใจได้”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขาพูดถึงการเปิดเส้นชีพจรที่หกของถวนจื่อ ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็ตึงเครียดขึ้น ก่อนพยักหน้าเบาๆ
“เชิญ…”
…
ท่าเรือดอกท้อ
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ กลับมาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นพวกนางก็เดินตรงไปที่จวนเยว่ทันที
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เรียกถวนจื่อออกมาก่อน
หลังจากพักฟื้นมาสักระยะ อาการบาดเจ็บของนางก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อย
บาดแผลภายนอกไม่ได้สาหัสเท่าเดิมแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่า สิ่งที่สาหัสที่สุดไม่ใช่เรื่องเหล่านี้
“อาเยว่!”
ถวนจื่อเพิ่งออกมา นางก็วิ่งมาหาฉู่หลิวเยว่ทันที นางกอดเข้าที่ขาของฉู่หลิวเยว่ ก่อนเงยหน้าแล้วถามว่า
“อาเยว่ จื่อเฉินเป็นอย่างใดบ้าง?”
………………..