ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2152 ปรึกษาหารือ
………………..
เว่ยเจ๋อโกรธจนโมโหออกมา
จะให้เขาไปขอโทษอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ?
ใช่แล้ว เมื่อตอนนี้พระราชวังเมฆาสวรรค์ร่วมมือกับจวนเยว่ พวกเขาก็อยู่เหนือตระกูลเว่ยจริงๆ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่จะสามารถทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้!
ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเว่ยก็เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสิ่นซวี่ และเขาก็อยู่ในฐานะของประมุขตระกูล นั่นหมายความว่าเขาเป็นหน้าตาของตระกูลทั้งหมด!
หากครั้งนี้เขาต้องไปจริงๆ นั่นคงทำให้คนทั้งโลกต้องหัวเราะเยาะเขาไม่ใช่หรือ?
“ตระกูลเว่ยกับสำนักมหายานไปมาหาสู่กันน้อยมาก ส่วนเจียงหลินที่เจ้าพูดถึงนั้นก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราแม้แต่น้อย! ทุกหนี้แค้นมีเจ้าหนี้ของตัวเอง ใครทำผิด พวกเจ้าก็ไปตามหากับคนนั้นสิ เหตุใดต้องมาหาเรื่องตระกูลเว่ยของพวกเราด้วย?”
เว่ยเจ๋อจัดแต่งเสื้อผ้าของตนเอง
“หลังจากอาณาจักรใหม่เปิด ข้าก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งแก่ตระกูลเว่ยทุกคนไม่ให้เข้าร่วมงานนี้ หากใต้เท้าเยี่ยนชิงไม่เชื่อก็สามารถไปตรวจสอบได้เลยว่าช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้มีใครออกจากลุ่มน้ำชิงกู่หรือไม่?”
เขาพูดขึ้นด้วยความมั่นใจมาก ใบหน้าของเขาบูดบึ้งเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
คนอื่นๆ ที่เห็นดังนั้นต่างพยักหน้า
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ท่านประมุขได้สั่งการเช่นนั้นจริงๆ ช่วงนี้พวกเราอยู่ที่นี่มาโดยตลอด”
“ในเมื่อคนของสำนักมหายานเป็นคนก่อเหตุก็ไปหาพวกเขาสิ เหตุใดต้องมาหาเรื่องพวกเราด้วย…”
“ใช่แล้ว คนจากพระราชวังเมฆาสวรรค์จะ…” โอหังเกินไปแล้ว
เขาไม่ได้พูดคำพูดสุดท้ายออกไป แต่ผู้ที่พูดนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในทันที
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่รู้ตัว ในตอนนั้นเองก็สบสายตาเย็นยะเยือกของเยี่ยนชิง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน จากนั้นก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ
ยะ…เยี่ยนชิงผู้นี้…ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!
“ประมุขเว่ย พวกเราบังเอิญรู้มาว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้มีคนคนหนึ่งได้ออกจากลุ่มน้ำชิงกู่จริงๆ เจ้าอยากจะฟังหรือไม่?”
หางตาของเว่ยเจ๋อกระตุกขึ้นอย่างแรง
เยี่ยนชิงผู้นี้กำลังหมายถึง…
“ใต้เท้าเยี่ยนชิง เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง หากท่านไม่สามารถแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ เกรงว่าเงื่อนไขเมื่อครู่นี้ตระกูลเว่ยของพวกเราคงไม่สามารถตอบรับได้”
คนที่พูดนั้นคือ เว่ยซง
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ชื่อเสียงของตระกูลเว่ยก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่
หากเว่ยเจ๋อไปขอโทษอีกฝ่ายที่ท่าเรือดอกท้อจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่อย่างรวดเร็วแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น เว่ยเจ๋อก็คงไม่มีหน้าไปพูดกับทุกคนแล้ว และคนของตระกูลเว่ยก็มีจำนวนมาก พวกเขาจะไม่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าได้อย่างใด?
เยี่ยนชิงพยักหน้า
“ฝ่าบาทของพวกเราไม่เคยต่อสู้ในสนามรบที่ไม่มีความแน่นอน และครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลักฐานน่ะมีอยู่แล้ว หากประมุขเว่ยอยากจะดู ข้าก็สามารถแสดงให้ดูตอนนี้ได้เลย”
หัวใจของเว่ยเจ๋อเต้นกระหน่ำ
เขาไม่มั่นใจเลยว่าคำพูดนี้ของเยี่ยนชิงเป็นความจริงหรือหลอก
แต่ในเมื่อเขากล้ามาถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้แล้ว เกรงว่า…เรื่องนี้คงไม่ดีแน่
เว่ยเจ๋อรีบใช้ความคิดค้นหาข้อบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้น
เขาฝังตัวตนของหลินเจียงอยู่ที่สำนักมหายานหลายปี แม้กระทั่งคนอื่นๆ ของตระกูลเว่ยก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
อีกทั้งตอนนี้คนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ก็นับว่าได้ตายไปอย่างไร้หลักฐาน
แล้วพวกเขาจะมีหลักฐานได้อย่างใด?
เว่ยเจ๋อไม่กล้าที่จะเสี่ยง…
หลังจากครุ่นคิดดูแล้วเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ ฝ่าบาทและนายท่านเยว่จะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้าอยู่นะขอรับ ถ้าอย่างนั้นเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะเดินทางติดตามท่านไปที่ท่าเรือดอกท้อ และไปอธิบายต่อหน้าให้พวกเขาเข้าใจ ตระกูลเว่ยและพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ดังนั้นเพราะความเข้าใจผิดบางอย่างจึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้น”
สิ่งที่เขาพูดนั้นงดงามมาก
เขาตอบตกลงเงื่อนไขของเยี่ยนชิงที่จะร่วมเดินทางไปท่าเรือดอกท้อ แต่เขาไม่ได้ไปเพื่อขอโทษ เขาไปเพื่ออธิบายความเข้าใจผิด
ซึ่งมันดูน่าฟังมากกว่าเดิม
เยี่ยนชิงถอยหลังลงไปครึ่งก้าว
“เชิญ ประมุขเว่ย”
…
ท่าเรือดอกท้อ
เวลาค่ำคืนคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่จื่อเฉินตื่นขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างทับอยู่บนผ้าห่ม
เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นศีรษะกลมและมวยผมผูกเชือกสีแดงคล้องกระดิ่งเอาไว้
ถวนจื่อกำลังนอนอยู่ที่ข้างเตียง
นับตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่มอบหมายให้ถวนจื่อดูแลเขา นางก็ไม่ห่างจากกายเขาไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว และเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
แต่ผลสรุปแล้วนางยืนหยัดไม่ไหวจนทำให้ฟุบหลับไปเช่นนี้
ตอนที่อยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาดนางถูกบีบบังคับให้เปิดเส้นชีพจรเส้นที่หก สำหรับนางแล้วเป็นการสูญเสียพลังครั้งใหญ่
ตอนนี้ร่างกายเล็กๆ ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัว ดังนั้นจึงมีอาการง่วงหงาวหาวนอนบ้าง
จื่อเฉินเอียงคอมอง แววตาหันไปมองทางถวนจื่ออย่างสำรวจ แต่ไม่สามารถมองอารมณ์ของเขาออก
นางหลับสบาย ปากเล็กๆ กำลังพึมพำอันใดบางอย่าง
“ขอ…ขอโทษนะ…”
มุมปากของจื่อเฉินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เหมือนนางสัมผัสอันใดได้บางอย่าง ในที่สุดถวนจื่อก็ขยับเปลือกตา แล้วลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ยังหลับอยู่เลย…”
นางพูดเสียงเบา
ดูเหมือนว่าอาการของจื่อเฉินจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ
นางบิดขี้เกียจ แล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ ก่อนเดินไปที่หัวเตียงด้วยเสียงแผ่วเบา
จื่อเฉินคิดว่านางจะไปหยิบยา แต่หลังจากผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอันใดเลย
ในตอนที่เขากำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีอันใดบางอย่างกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
สองแขนของถวนจื่อกำลังเท้าอยู่ข้างเตียง นางเขย่งปลายเท้า จากนั้นก็เอาหน้าผากมาแตะลงที่บาดแผลบริเวณไหล่ของเขา
ตอนนี้บาดแผลที่ไหล่ของเขานั้นถูกจัดการอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังมีเลือดซึมออกมาจางๆ
ถวนจื่อถอนหายใจออกมา นางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ทุกครั้งที่นางเห็นบาดแผลของจื่อเฉิน นางต้องนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นยังไม่สามารถควบคุมได้
ความรู้สึกที่เนื้อและกระดูกแตกละเอียด เลือดสาดกระเซ็น ความรู้สึกเหล่านั้นลึกซึ้งและชัดเจนมาก
เดิมทีจื่อเฉินคิดว่านางแค่รู้สึกสงสัย หากมองอยู่ครู่หนึ่งก็คงจะจากไป แต่หลังจากที่รออยู่สักพักแล้ว นางก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน
ผมของนางสองสามเส้นคลอเคลียอยู่ที่ลำคอของเขา
ทุกครั้งที่ศีรษะของนางขยับ เส้นผมเหล่านั้นก็จะปัดไปมา ทำให้เขารู้สึกคันมาก
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดจื่อเฉินก็ทนไม่ไหว ดังนั้นจึงแกล้งกระแอมไอขึ้นมา
ถวนจื่อจึงรู้สึกตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“จื่อเฉิน เจ้าตื่นแล้วหรือ!”
จื่อเฉิน “…อื้อ”
“เจ้าหิวหรือไม่? อยากกินอันใดหรือเปล่า? หรือว่า…ต้องกินยาก่อน”
ถวนจื่อขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็ครุ่นคิดให้รอบคอบ
“แล้วก็ต้องเปลี่ยนยาที่แผลด้วย…ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มน้ำก่อนเถอะ!”
เมื่อพูดจบดวงตาที่เปล่งประกายก็มองไปทางจื่อเฉิน เหมือนกับกำลังรอคำตอบจากเขา
จื่อเฉินรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
“ถวนจื่อ เรื่องเหล่านี้ข้าทำเองได้ เจ้า…”
“อาเยว่บอกว่าข้าจะต้องดูแลเจ้าให้ดี! หรือ…เจ้าคิดว่าข้ายังทำได้ไม่ดีใช่หรือไม่?” ถวนจื่อเบิกตากว้าง
จื่อเฉินชะงักไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวเตือนอันใดนาง ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ เหมือนว่านางจะไม่ได้ทำอันใดเลยสักอย่าง เพียงแค่นอนฟุบอยู่ตรงนี้เท่านั้น
“…เปล่า ถ้าอย่างนั้นเอาน้ำให้ข้าดื่มก่อนก็แล้วกัน”
“ได้เลย!”
ถวนจื่อหันหลังกลับแล้วไปรินน้ำให้
ฟู่…ตู้ม!
ลูกไฟสีทองคำชาดลุกโชนขึ้น จากนั้นก็เผากาน้ำนั้นเป็นจุณในทันที
ของในที่แห่งนี้ล้วนเป็นของธรรมดาสามัญ จะสามารถทนต่อเปลวไฟของนางได้อย่างใด
ถวนจื่อชะงักไป จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองเขา
“ข้า…ข้าแค่คิดว่าเจ้าน่าจะต้องดื่มน้ำร้อน…เดี๋ยวเข้าไปเปลี่ยนกาใบใหม่มาแล้วกัน?”
จื่อเฉินหลับตาลง