ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2153 ซักถาม
ตอนที่ 2153 ซักถาม
………………..
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้นแล้ว
เหมือนหรงซิวเพิ่งออกไปได้ไม่นาน บนโต๊ะยังมีน้ำชาที่เพิ่งชง และมีควันลอยขึ้นมาอยู่เลย
นางขยับไหล่และคอ ตอนนั้นรอยแดงบนไหปลาร้าก็ปรากฏขึ้น ร่างกายของนางจะดูสะอาดสะอ้าน นางจำได้อย่างเลือนรางว่าหลังจากเสร็จกิจเหล่านั้นแล้ว หรงซิวก็ได้อุ้มนางไปอาบน้ำ
คนบางคนทำทุกวิถีทางเพื่อลูกสาวจริงๆ…
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่เห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย นางยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นไปแต่งตัว
อาจจะเป็นเพราะนางสามารถทะลวงด่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ดังนั้นพลังกายของนางก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
แม้ว่าจะใช้เวลานาน แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอันใดเลย
ฉู่หลิวเยว่เดินออกไปที่ด้านนอก จากนั้นก็เห็นว่าเด็กหนุ่มผมทองกำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกเรือน
เขากำลังเอนตัวพิงประตูทรงกลม คิ้วขมวดเล็กน้อย สีหน้าตึงเครียด เหมือนคิดอันใดบางอย่างอยู่
ผมสั้นที่นุ่มสลวยกำลังปรกลงมา แสงแดดสาดส่องลงมาทำให้เขาส่องประกายเล็กน้อย
“เสี่ยวโจว”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเรียก เหมือนว่าเชียงหว่านโจวกำลังจมจ่อกับห้วงความคิดลึกซึ้ง ดังนั้นจึงไม่สามารถตอบสนองได้
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปหา จากนั้นก็ส่งเสียงดังขึ้น
“เสี่ยวโจว?”
ตอนนั้นเชียงหว่านโจวถึงได้สติคืนมา เขาหันกลับมามองนาง
เมื่อใบหน้าของนางสะท้อนในแววตาเขา ตอนนั้นสีหน้าของเขาก็ดูงุนงงเล็กน้อย
ในตอนนั้น ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าเขากำลังมองหาใครอีกคนผ่านตัวของนางอยู่
นางยื่นมือออกมาแล้วโบกที่ด้านหน้าของเขา ก่อนพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“กำลังคิดอันใดอยู่เหรอถึงได้เหม่อแบบนั้น?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เหมือนเขามีเรื่องกังวลใจอยู่
แต่ในเมื่อเป็นเรื่องกังวลใจ และเขาไม่อยากบอกคนอื่น นางก็ไม่ไปถาม
“เหตุใดเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
แม้ปกติแล้วเขาจะเฝ้าอยู่ที่ข้างกายนางตลอด แต่ในเรือนแห่งนี้เป็นเรือนที่นางอยู่กับหรงซิว ในช่วงเวลาปกติจะไม่ค่อยมีใครมา ต่อให้เป็นเชียงหว่านโจวและคนอื่นๆ ก็ตาม หากเขาต้องการเฝ้ายามอยู่ที่นี่ เขาจะซ่อนตัวด้วยความระมัดระวังอย่างดี
การมายืนเฝ้าที่หน้าประตูเรือนตอนกลางวันเช่นนี้ ถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก
เชียงหว่านโจวยืดตัวตรง
“เว่ยเจ๋อมาแล้ว เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทเพิ่งเดินทางไป ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในโถงใหญ่ ฝ่าบาทบอกว่าหากท่านตื่นแล้วให้เชิญท่านไปที่นั่นด้วย”
“เว่ยเจ๋อ? เขามาที่นี่เหตุใด?”
ในตอนนั้นนางก็รู้สึกถึงเรื่องน่าขันขึ้นมา มุมปากจึงโค้งขึ้น
หรือเพราะเป็นเรื่องเจียงหลินแห่งสำนักมหายาน?
ก่อนหน้านี้นางเคยซักถามประวัติของผู้ชายคนนี้มาก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างใดชายคนนั้นก็ไม่ให้ความร่วมมือ อีกทั้งยังทดลองจะระเบิดตัวตาย แต่สุดท้ายเขาก็ถูกหรงซิวขวางเอาไว้
ร่างของชายคนนั้นถูกทำลาย แต่จิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายยังอยู่ และวิญญาณนั้นก็ยังถูกหรงซิวกักขัง
หรงซิวจะสามารถซักถามอันใดออกมาได้แล้วหรือ หรือว่าเขาจะมีหลักฐานชิ้นอื่น?
ไม่ใช่ว่าฉู่หลิวเยว่ไม่เคยสงสัยตระกูลเว่ย
ท้ายที่สุดแล้วคนที่สามารถส่งผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นไส้ศึกได้นั้นก็มีเพียงแค่ไม่กี่ตระกูล
นอกจากตระกูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องแล้ว ขอบเขตในการค้นหาของนางก็แคบลง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องตระกูลเว่ยมีบุญคุณความแค้นกับนางมาก่อน
“ใต้เท้าเยี่ยนชิงเป็นคนเชิญเว่ยเจ๋อกลับมาขอรับ” เชียงหว่านโจวพูด
ที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากตระกูลเว่ยไม่น้อย การจะเดินทางไปกลับก็ต้องใช้เวลามาก
แต่เว่ยเจ๋อกลับเดินทางมาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้…ดูเหมือนว่าการกระทำของเยี่ยนชิงจะรวดเร็วไม่น้อยเลย
ไม่ บางทีควรจะพูดว่า เป็นหรงซิวที่เฉียบคมและรวดเร็วเกินไป
“งั้นไปดูกันเถอะ”
…
หรงซิวนั่งอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดของห้องโถง ส่วนเว่ยเจ๋ออยู่ตำแหน่งซ้ายล่าง
เยี่ยนชิงยืนเฝ้าที่ด้านหน้าประตู
บรรยากาศภายในห้องเย็นยะเยือก แข็งค้าง
หรงซิวหลุบสายตาลงต่ำ จากนั้นก็จิบชาหนึ่งอึก
ใบไม้สีเขียวลอยอยู่ในน้ำ กลิ่นหอมลอยกระจายออกมา นอกจากนี้ยังมีรสชาติขมเล็กน้อยของขิงด้วย
ก่อนหน้านี้เขาไม่ชินกับรสชาติของมัน แต่ตอนนี้เขากลับชอบมาก
เขามีท่าทางไม่รีบไม่ร้อน แต่ทางด้านของเว่ยเจ๋อกลับนั่งไม่ติดพื้นแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขากับหรงซิวมีฐานะระดับเดียวกัน อีกทั้งเขายังมีอายุมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับหรงซิว เขามักจะรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่เสมอ
หลังจากจิบน้ำชาไปหนึ่งคำกลิ่นหอมสดชื่นของขิงก็กระจายทั่วปาก หรงซิววางถ้วยชาลง
“ตึก”
ถ้วยชาชั้นดีกระแทกโต๊ะอย่างแรงจนทำให้เกิดเสียงดัง ภายในห้องที่เงียบกริบ เสียงนั้นจึงดังชัดเจนเป็นอย่างมาก
หัวใจของเว่ยเจ๋อก็เต้นแรงมากเช่นกัน
“นี่หมายความว่า หลินเจียงตัวปลอมคนนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยแม้แต่น้อยเลยอย่างนั้นหรือ?”
เว่ยเจ๋อรีบตอบว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว! เมื่ออาณาจักรใหม่เปิดขึ้นมีตระกูลจำนวนมากมายเดินทางไปที่นั่น แต่ตระกูลเว่ยไม่ได้เข้าร่วมเลยตั้งแต่ต้น แล้วคนคนนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกเราได้อย่างใด?”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วหันมามองหน้าเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เว่ยเจ๋อฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“เรื่องนี้…เป็นเพราะพวกเรามีเรื่องล่าช้าเล็กน้อย ดังนั้นจึงไปไม่ทัน ตอนที่จะเดินทางไปมันก็สายมากแล้ว ดังนั้นจึงล้มเลิกแผนการ นอกจากตระกูลเว่ยของพวกเราแล้วความจริงยังมีตระกูลอื่นที่ไม่ได้เดินทางไปเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะแปลกอันใด”
หรงซิวพยักหน้า
“สิ่งที่ประมุขเว่ยพูดมาก็มีเหตุผล”
เว่ยเจ๋อถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“โอรสสวรรค์ฉลาดปราดเปรื่องมาโดยตลอด ท่านไม่มีทางเข้าใจผิดเพราะเรื่องที่ไม่มีหลักฐานเช่นนี้แน่นอน ในเมื่อคนผู้นั้นก็ตายไปแล้ว ตอนนี้หลักฐานก็ไม่มี เกรงว่าคงยากที่จะสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว…”
หรงซิวพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“ใครบอกว่าเขาตายไปแล้ว?”
ใบหน้าของเว่ยเจ๋อแข็งค้างขึ้นมาทันที
การเชื่อมต่อของเขากับคนคนนั้นถูกตัดขาด นั่นก็หมายความว่าคนคนนั้นตายไปแล้วอย่างแน่นอน!
อีกทั้งก่อนหน้านี้เยี่ยนชิงก็พูดขึ้นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้น เขาขยับฝ่ามือขึ้น ลำแสงสีทองหลายสายพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นกรงทองรูปสี่เหลี่ยม!
ด้านในนั้นมีกลุ่มแสงสีแดงและดำผสานกัน…ซึ่งนั่นคือจิตวิญญาณของเจียงหลินตัวปลอม!
ตอนนั้นเองมือของเว่ยเจ๋อที่ที่เท้าแขนก็กำแน่นขึ้น เขาใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะสามารถควบคุมไม่ให้ตัวเองพุ่งตัวขึ้นไปด้านหน้าได้
แต่ใบหน้าของความตื่นตระหนกตกใจเพียงครู่เดียวนั้นก็ไม่ได้เล็ดรอดไปจากสายตาของหรงซิวได้เลย
“คนคนนี้ใจกล้าเทียมฟ้า เขาพยายามจะขโมยเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ของเยว่เออร์ อีกทั้งยังพูดจาใส่ร้ายเยว่เออร์ ความผิดที่เขาได้กระทำเอาไว้มากมายนั้น ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาตายไปง่ายๆ ได้แน่นอน”
หรงซิวยิ้มออกมาบางๆ
หางตาของเว่ยเจ๋อกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง
เย่อหยิ่ง!
อวดดี!
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ หรงซิวมีชื่อเสียงว่าเป็นคนโหดเหี้ยมร้ายกาจ ไม่มีใครสามารถยั่วยุเขาได้
แต่จะให้มายอมรับว่าเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ…นี่มันบ้าไปแล้วใช่หรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่เขา
“เช่นนั้น…เช่นนั้นโอรสสวรรค์สามารถสืบอันใดได้บ้างหรือ?”
เว่ยเจ๋อถามขึ้นมาด้วยลำคอแห้งผาก
หรงซิวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“นี่คือคนที่ตายไปแล้ว ถามอันใดไม่ได้หรอก ตอนนี้เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ยิ่งยากที่จะถามออกมา”
ขณะที่หัวใจของเว่ยเจ๋อกำลังจมดิ่ง เขาก็ได้ยินหรงซิวพูดต่อ
“แต่…ข้าบังเอิญพบเรื่องที่น่าสนุกบางอย่าง ลมปราณของเขานั้น…ค่อนข้างที่จะมีส่วนคล้ายกับประมุขเว่ยมาก ประมุขเว่ยมีอันใดจะพูดหรือไม่?”
เว่ยเจ๋อรีบปฏิเสธทันที
“นี่จะเป็นไปได้อย่างใด! ฝ่าบาทต้องเข้าใจผิดแน่นอน! ข้า…”
“จริงสิ จะว่าไปแล้วค้อนเหล็กของประมุขเว่ยนั้น ก็มีลมปราณคล้ายกับสิ่งนี้มากไม่ใช่หรือ?”
น้ำเสียงของเว่ยเจ๋อหยุดอย่างกะทันหัน
………………..