ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2175 ลมพัด
ตอนที่ 2175 ลมพัด
………………..
ตัวอักษรสีดำลอยอยู่เหนือน่านฟ้าอาณาจักรเสิ่นซวี่
เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนสามารถสัมผัสได้ ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
ตัวอักษรเหล่านั้นไม่ได้ใหญ่ แต่ก็สะท้อนเข้าสู่สายตาของทุกคนได้อย่างง่ายดาย มันสว่างและหม่นแสงตามจังหวะการหายใจของพวกเขา
รัชศกซินหยวน อาณาจักรเสิ่นซวี่ไม่เคยบันทึกช่วงเวลานี้เอาไว้ในประวัติศาสตร์
พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นอาณาจักรลึกลับที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน
ทุกคนต่างรู้สึกสงสัยและเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความว่างเปล่า ตอนนั้นเหมือนเขาสามารถสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และรู้สึกโหยหามันมาก
เหมือนว่าหลังจากนี้…จะมีอะไรบางอย่างที่กำลังดึงดูดคนทั้งโลก
…
ตระกูลอี้
จวินจิ่วชิงกลับมาถึงที่ตระกูลอี้แล้ว เวรยามที่หน้าประตูใหญ่ทำความเคารพเขาในทันที
“คารวะท่านประมุข”
น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ
ตอนที่สายตาของพวกเขามองไปทางลูกครึ่งแร้งวิเศษที่เกาะอยู่บนไหล่ของจวินจิ่วชิง ในแววตาของเขาก็มีประกายความหวาดกลัวแผ่กระจายออกมา
หลายเดือนก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อจวินจิ่วชิงด้วยท่าทางเช่นนี้
ภายในระยะเวลาสั้นๆ จวินจิ่วชิงกลับยึดตำแหน่งประมุขของตระกูล อีกทั้งยังควบคุมตระกูลอี้ทั้งหมดเอาไว้ในกำมือ
แต่ถ้าใครที่มีสมอง พวกเขาก็ต่างรู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรต่อท่านประมุขหนุ่มคนนี้
จวินจิ่วชิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน
จวินจิ่วชิงหรี่ตาเล็กน้อย แต่เขาดูเหมือนไม่ได้แปลกใจอะไรเลย
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ถอนสายตากลับมา
“ไปเรียกให้พวกอาวุโสทุกคนของตระกูลอี้มาประชุมที่โถงใหญ่ ข้ามีเรื่องจะหารือ”
เวรยามทั้งสองคนนั้นได้ยินดังนั้นก็ตอบรับทันที
“ขอรับ!”
หลังจากที่จวินจิ่วชิงเดินออกไป เวรยามทั้งสองก็มองหน้ากัน
อาณาจักรเสิ่นซวี่…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว
…
ตระกูลหนาน
ตอนนี้ตระกูลหนานได้แตกกระจายไปแล้ว หนานจิ่นซูที่เคยเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสก้าวขึ้นสู่อำนาจท่ามกลางความวุ่นวาย และเข้ารับตำแหน่งประมุขตระกูลหนานโดยไม่มีใครเต็มใจ
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของหนานอีฝาน เขาอยากครอบครองตำแหน่งประมุขตระกูลมานานหลายปีแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของเขายังด้อยกว่าหนานอีฝานหนึ่งขั้นเสมอ
ต่อมาหลังจากหนานอีฝานเสียชีวิต ตระกูลตกอยู่ในความวุ่นวาย ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสแล้ว
หลังจากผ่านภัยพิบัติที่ท่าเรือดอกท้อ ตระกูลหนานก็มีการสูญเสียครั้งใหญ่ พวกเขาไม่สามารถกลับสู่จุดสูงสุดเช่นเดิมได้แล้ว
แต่ว่าตระกูลหนานสืบทอดมาเป็นพันปี ดังนั้นอย่างน้อยเขาก็มีรากฐานมั่นคง
ตอนนี้หนานจิ่นซูสั่งให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพ ฟื้นฟูกำลังภายในของตัวเอง
ต่อให้ไม่สามารถอยู่ในระดับสูงเท่าเดิม แต่อย่างน้อยก็สามารถเทียบเท่ากับตระกูลอันดับหนึ่งได้
แน่นอนว่ายกเว้นพระราชวังเมฆาสวรรค์
เมื่อพวกเขาเห็นตัวอักษรที่อยู่บนท้องฟ้า หนานจิ่นซูก็ชะงักไปเป็นเวลานาน แต่ทันใดนั้นเหมือนเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ตอนที่อี้เจากลับมา เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดร่องรอยการเดินทางของตัวเอง
ความจริงแล้ว เรื่องที่เขากับโหมวเจินเดินทางไปทะเลทรายจันทราสีชาดด้วยกันนั้นได้แพร่กระจายออกไปจนทั่วเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลทั้งสองเผ่าตั้งนานแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแล้ว
ตอนที่เขาเดินทางกลับมาถึงพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
เมื่อผู้อาวุโสอี้อวี่เห็นหน้าเขาก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีมาก
“ประมุข ท่านกลับมาแล้ว! ถวนจื่อเป็นอย่างใดบ้าง?”
ข่าวลือด้านนอกแพร่กระจายออกมาไกล เดิมทีเขาก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ถวนจื่อก็น่าจะปลอดภัยแล้ว
แต่เรื่องแบบนี้ ถามขึ้นด้วยตัวเองน่าจะทำให้เบาใจมากที่สุด
อี้เจาส่ายหน้า
“นางถูกคนบีบบังคับให้เปิดเส้นชีพจรเส้นที่หก แต่ยังดีที่ซั่งกวนเยว่สามารถทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ทันเวลา ดังนั้นซึ่งทำให้นางฟื้นตัวได้เร็วขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย หลังจากพักฟื้นสักระยะก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ตกใจมาก เหมือนว่าตัวเองหูฝาดไป
“ถูกคนบังคับให้เปิดเส้นชีพจร? มันจะเป็นไปได้อย่างใด? จะมีคนมีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ? อีกทั้ง ไม่สิ! พรสวรรค์ของถวนจื่อหาได้ยากในรอบพันปี นางสามารถเปิดเส้นชีพจรเส้นที่ห้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่บังคับให้นันเปิดเส้นชีพจรนั้นกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?”
อี้เจาสูดหายใจเข้าลึกๆ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง คิ้วขมวดขึ้นเป็นปม
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล ตอนที่พวกเราไปถึงทะเลทรายจันทราสีชาด พวกเราได้เจอกับเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย แต่…ยังสืบไม่ได้ว่าใครอยู่บ้างหลัง”
ริมฝีปากของผู้อาวุโสอี้อวี่ขยับ หน้าเปลี่ยนสี ภายในหัวใจมีระลอกคลื่นขนาดใหญ่
อี้เจาเดินทางไปกับโหมวเจิน ถ้าเขาเดาไม่ผิดละก็ จื่อเฉินก็น่าจะเกิดเรื่องด้วยเช่นกัน
เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกัน พวกเขาก็แทบจะไร้เทียมทาน
อี้เจาพูดขึ้น
“อีกเดี๋ยวเพิ่มกำลังคนออกไป ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกครั้ง อย่าปล่อยเบาะแสใดๆ หลุดรอดไปเด็ดขาด”
“ขอรับ! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ผู้อาวุโสอี้อวี่เพิ่งหมุนตัวเดินออกไป ขณะที่เขาอยู่ด้านหน้าจัตุรัสพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง เขาก็รู้สึกว่าคนท้องฟ้ามีอะไรผิดปกติ
ดังนั้นจึงหันไปมอง
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกตกใจมาก
“ท่านประมุข! ดูนั่นสิ!”
อี้เจาเงยหน้าขึ้นมอง
ตัวอักษรบรรทัดนั้นสว่างวาบอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังสะท้อนเข้าสู่ดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน!
“ท่านประมุข! นั่นมัน…”
ผู้อาวุโสอี้อวี่กำลังจะถามอะไรบางอย่าง แต่เขากลับพบว่าอี้เจาหมุนตัวเดินเข้าไปในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงด้วยความรวดเร็วแล้ว
ในขณะเดียวกัน ม่านพลังด้านนอกพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงก็มีแสงสว่างกระจายวูบวาบ แรงกดดันเข้มข้นกว่าเดิม!
ผู้อาวุโสอี้อวี่ชะงักค้างไป
ท่านประมุข…ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?
เขายืนคิดอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้าไปทางหุบเขาเฟิ่งหวง ระหว่างนั้นเขาก็เห็นว่าคนจำนวนมากกำลังเงยหน้ามองตัวอักษรบรรทัดนั้น สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หัวใจของผู้อาวุโสอี้อวี่ตึงเครียดยิ่งขึ้น
…
เมื่ออี้เจาเข้าไปในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแล้ว เขาสาวเท้าเร็วขึ้นระหว่างทางเดินเต็มไปด้วยความเงียบ
ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนตรงหน้าภาพวาดฝาผนังขนาดใหญ่ภายในพระราชวัง
“บรรพบุรุษ”
ภายในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ แม้กระทั่งเข็มหล่นยังได้ยิน
เงาร่างที่อยู่ในบนฝาผนังยังคงจมอยู่กับความเงียบ
…
ท่าเรือดอกท้อ
ตัวอักษรบรรทัดนี้ก็ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าของพวกเขาในเวลาเดียวกัน
ถังเคอที่เพิ่งหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชุดที่สองเสร็จก็หยุดนิ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง
เขาขมวดคิ้วขึ้น แต่ไม่นานก็ต้องคลายปมหัวคิ้วนั้น
ซูหลีก็หยุดมือเช่นกัน จากนั้นนางก็ถามอย่างสงสัยว่า
“นั่นมันคืออันใดกัน? พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์คือที่ใด? ประตูสวรรค์…มันเป็นประตูจริงๆ หรือ?”
ถังเคอมองไปทางนาง แล้วส่ายหน้า
“รอจนกระทั่งถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง เจ้าจะหลอมต่อไปหรือไม่?”
เขาถามถึงเรื่องการหลอมอาวุธ
ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาต่อกันเถอะ!”
พวกเขาทั้งสองคนสูสีกันอยู่ตลอด ดังนั้นภายในใจของนางจึงอยากจะตัดสินผลแพ้ชนะ
ส่วนตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น…
ก็เหมือนกับที่ถังเคอเคยพูดเอาไว้ เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เอง
ทุกคนได้ยินทั้งสองคนพูดคุยกัน ภายในใจก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
น้องแปดยืดตัวบิดขี้เกียจ นางหลับตาลงเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างหมดแรงว่า
“พวกเขาทั้งสองคนหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์คนละสิบสามชิ้นแล้ว เหตุใดถึงต้องยังหลอมต่อไปล่ะ…”
หลังจากนั้นดูมาทั้งวันทั้งคืน พวกเขาไม่รู้สึกเหนื่อย แต่นางง่วงแล้ว
นางบิดตัวแล้วขยับเข้าหาเฉินอี
“พี่ใหญ่ ข้าไปนอนได้หรือไม่?”
เฉินอีพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ไม่ได้”
………………..