ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2180 ข้าจะอยู่กับเจ้า
ตอนที่ 2180 ข้าจะอยู่กับเจ้า
………………..
ในค่ำคืนที่กระจ่างชัด สะพานสีเงินทอดยาวท่ามกลางอากาศ
ด้านหนึ่งของสะพานเชื่อมต่อกับเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกล ส่วนอีกด้านหนึ่งทอดยาวบนท้องฟ้าจมลงไปในปุยเมฆและเชื่อต่อกับสถานที่ที่มิอาจะรู้ได้
ทั้งงดงามเจิดจรัส และสง่างามล้ำค่า
แสงสว่างแต่ละดวงมารวมกันและก่อตัวเป็นสะพานสีเงินที่เหมือนจริงดังที่เห็นนี้
แต่หากมองดูอย่างละเอียดแสงสว่างเหล่านั้นแทบไม่ใช่แสงธรรมดา แต่ดูเหมือนถูกสลักด้วยลวดลายบางอย่าง
เพียงแต่ระยะห่างไกลมาก ดังนั้นจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเพียงชั่วคราวเท่านั้น
“ตั้งแต่คืนที่ตัวอักษรเริ่มวาบวับอยู่บนท้องฟ้าในอาณาจักรเสิ่นซวี่ สะพานนั่นก็ปรากฏขึ้น”
เมื่อฉู่หลิวเยว่นึกถึงคำพูดของเฉินอี ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง
“ในตอนแรกเป็นการรวมตัวกันของแสงเล็กๆ เกิดการเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกที่ยากจะเข้าถึงและมันไม่เคยหลับใหลตลอดคืน แต่แสงเหล่านั้นก็แพร่กระจายออกไปทีละน้อยบนท้องฟ้า และค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างสะพานขึ้น”
“จนถึงตอนนี้สะพานนั่นยังคงปรากฏออกมาตอนเย็นของทุกวัน อีกทั้งยังขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง”
“ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนั้นคืออันใด แต่ทุกคนเชื่อว่าจุดสิ้นสุดที่ทอดยาวของสะพานจะต้องเป็นตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานเป็นแน่ วันที่สะพานเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อประตูนแดนสวรรค์เปิดออก!”
…
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองสะพานที่ขอบฟ้านั่น หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
การคาดเดาของเฉินอี น่าจะเป็นการคาดเดาของผู้ฝึกตนทั้งหมดในอาณจักรเสิ่นซวี่ก่อนหน้านี้
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดและงดงามเช่นนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ก็เท่านั้น
สำหรับเรื่องที่ไม่รู้ ความกลัวมักมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น แม้รู้ว่าเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็อยากลองดูด้วยตนเองสักครั้ง
ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด
“ยังดูสิ่งนี้อยู่อีกหรือ”
หรงซิวเดินออกมาจากห้องและสวมเสื้อคลุมบนตัวของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ขยับเสื้อคลุมและเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าบอกว่าสถานที่ที่เชื่อมต่อหลังสะพานนั่นแท้จริงแล้วคือตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานใช่หรือไม่ หากเป็นจริงดังว่า เช่นนั้น…พวกพี่เป่าก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วยอย่างนั้นหรือ”
หรงซิวกุมมือของนางเอาไว้
อาจเป็นเพราะลมหนาวที่พัดผ่าน จึงทำให้ปลายนิ้วของนางหนาวเย็น
เขาจึงกุมมือนางไว้ในฝ่ามือ เมื่อสัมผัสได้ว่าตัวของนางค่อยๆ อุ่นขึ้น หรงซิวจึงพูดขึ้นต่อว่า
“สิ่งนี้ใครก็มิอาจบอกได้ เมื่อไปถึงแล้วถึงรู้ได้”
“ก็จริง”
ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านข้างหันไปมองเขา
ในดวงตาหงส์ที่ล้ำลึกและสงบนิ่งคู่นั้น ความสงบและมั่งคงได้สะท้อนเงาร่างเล็กๆ สองร่างของนาง
เขาถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“กำลังคิดอันใดอยู่หรือ”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและอบอุ่นอยู่เสมอ
ฉู่หลิวเยว่ลังเลครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น
“หรงซิว ข้ามักรู้สึกว่ามีมือหนึ่งผลักข้าออกไป”
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใคร แต่มีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นค่อยๆ ผลักนางไปยังทิศทางนี้
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั่นจะต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับนางเป็นแน่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางในตอนนี้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
หรงซิวก้มลงจูบบนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
เดิมทีฉู่หลิวเยว่รู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย แต่ใจกลับสงบลงได้ในทันที
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของเขา ก่อนที่เขาจะตอบสนองกลับ นางวางศีรษะลงบนไหล่ของเขาและขยับไปมาเบาๆ
“ข้าไม่กลัวหรอก เพราะข้ามีเจ้าอยู่”
…
“อันใดนะ? อาเยว่ยังเชิญปู่โหมวเจินมาด้วยหรือ”
ในลานบ้านของอีกฝั่งหนึ่ง ถวนจื่อกับจื่อเฉินกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันตรงโต๊ะหิน
ผลไม้ที่สดใหม่และดูฉ่ำน้ำวางอยู่บนโต๊ะมากมาย
ผลไม้เหล่านี้ซานซานเป็นคนส่งมาให้โดยเฉพาะ ทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยากจะพบเห็นและยังได้ผลดีเยี่ยมสำหรับการฟื้นฟูพลัง
เดิมทีมอบให้จื่อเฉิน แต่ตอนนี้ล้วนเป็นของถวนจื่อไปเสียแล้ว
ในขณะที่ถวนจื่อกำลังกอดผลไม้สีแดงกลมที่ผลใหญ่กว่ากำมือของนางและกัดมันอยู่นั้น
หลังจากได้ยินคำพูดของจื่อเฉินนางจึงหยุดเคลื่อนไหวลงในทันที และเงยหน้ามองด้วยความตกใจและสับสน
“อืม น่าจะมาถึงวันพรุ่งนี้แล้ว”
จื่อเฉินพูดและมองนางครู่หนึ่ง
บนปากเล็กๆ ของนางเลอะไปด้วยน้ำผลไม้สีแดงเป็นดวงๆ และยังมีเม็ดงาขาวติดอยู่
ดวงตาคู่ใหญ่ที่เหมือนองุ่นดำกะพริบไปมาและเต็มไปด้วยความสงสัย
“เงยหน้า”
จื่อเฉินพูดขึ้น
“เหตุใด?”
ถวนจื่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่ยังแสดงสีหน้าเชื่อฟัง
จื่อเฉินเอื้อมมือออกมาเช็ดเม็ดงาขาวสองสามเม็ดที่มุมปากของนาง
ถวกจื่อเพิ่งรู้ตัวว่าสนุกกับการกินมากเกินไป ไม่รู้เมื่อได้ที่กินแล้วจึงกลายเป็นเช่นนี้
ขณะที่นางเช็ดปาก บนมือของนางก็กลายเป็นสีแดงๆ ในทันที
เป็นเรื่องยากที่นางจะรู้สึกเขินอาย
“เฮ้อ…ช่วงนี้ไม่รู้เหตุใด ข้าหิวบ่อยนัก…”
นางมองผลไม้ที่อยู่ในมือ และมองจานครึ่งหนึ่งที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ…นั่นคือทั้งหมดที่นางกินไป
ดูเหมือน…เจ้าจะกินมากจริงๆ?
จื่อเฉินถอนสายตากลับ สีหน้าที่เย็นชาไม่แสดงออกแต่อย่างใด
“อย่าสิ้นเปลือง”
“อ้อ!”
เมื่อถวนจื่อได้ยินเข้าก็สบายใจขึ้นมาก จึงกินไปพลางและพูดพึมพำไปพลางว่า
“ผู้เฒ่าประมุขก็ส่งข่าวมาบอกว่าจะมาถึงที่นี่ในอีกสองวัน แต่แปลกจริง…พวกเขาเพิ่งกลับไปไม่นานไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงจะมาอีก”
แม้ว่านางอายุยังน้อย แต่ก็ติดตามฉู่หลิวเยว่ในกลุ่มของอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลนี้อยู่หลายครั้ง
ในสถานการณ์ปกติโหมวเจินและอี้เจาไม่มีทางปรากฏตัวพร้อมกัน
ทว่านานเช่นนี้แล้ว ทั้งหมดก็เคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้ง
ครั้งแรกเพราะงานแต่งของหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่ และอีกครั้งหนึ่งเป็นเพราะเกิดเรื่องระหว่างนางกับจื่อเฉิน
แต่ครั้งนี้…
“หรือเป็นเพราะสะพานนั่น?”
ถวนจื่อแหงนหน้ามองไปยังสะพานที่ขอบฟ้านั่น
เฉินอีหรี่ตาลงเล็กน้อย
“อาจะเป็นได้”
“แต่ก็ไม่รู้ว่าสะพานนั่นปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร”
“เวลาข้าเห็นมันมักจากรู้สึกมีค่อยสบายใจนัก”
จื่อเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองไปทางนาง
“ไม่สบาย? เกิดอันใดขึ้น?”
ถวนจื่อส่ายหัว ปากเล็กๆ พองขึ้น ราวกับเลอะเลือนเล็กน้อย และยกมือขึ้นขี้ไปที่สะพานนั่น
“ข้าก็ไม่รู้…อย่างใดก็…”
จื่อเฉินยื่นมืมาดึงมือของนางเข้ามา สองนิ้วประสานกัน และวางไว้บนข้อมือของนาง เพื่อแยกพลังออกจากกันและเข้าไปในร่างของนาง
หลังจากตรวจสอบดูแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
อันที่จริงเป็นเพราะเปิดชีพจเส้นที่หกได้แล้ว สภาพภายในร่างกายของถวนจื่อดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งพลังก็เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หากพูดว่าไม่สบาย…ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ
ถวนจื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมบนใบหน้าของเขาก็หัวเราะออกมาในทันที
“ข้าไม่อันใด! ไม่ต้องเป็นกังวล ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้วล่ะ! บางทีอาจกินมากเกินไปกระมัง?”
จื่อเฉินไม่พูดอะไรกับความคิดเห็นของนาง แต่นางก็ไม่ได้ถามอันใดต่อ
“เอาเถอะ ในเมื่อข้ากินเสร็จแล้ว งั้นข้าไปก่อนนะ!”
ถวนจื่อโบกมือไปมาและกระโดดลงจากม้านั่ง
จื่อเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ไป? เจ้าจะไปไหน?”