ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2185 เตือนสติเจ้า
ตอนที่ 2185 เตือนสติเจ้า
………………..
เฟยซิงเหมินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่ที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปี มีรากฐานหยั่งลึกอย่างมั่นคงและมีพลังมหาศาล
อย่างใดก็ตามทะเลเพลิงที่ลุกไหม้อย่างบ้าคลั่งกลับกลืนกินทุกสิ่งอย่างง่ายดาย
หรงซิวย่นคิ้วเล็กน้อย
ในขณะนั้นมีทหารองค์รักษ์เกราะดำกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากทางทะเลเพลิงนั่น
ปกคอเสื้อของพวกเขาล้วนถูกสลักด้วยสัญลักษณ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์
คนเหล่านี้…เป็นอัศวินดำของหรงซิว!
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ทหารหลายร้อยนายทำความเคารพอย่างพร้อมเพียง อย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
หรงซิวพูดขึ้น
“คนล่ะ”
“ทูลฝ่าบาท หลังจากข้าน้อยได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทจึงรีบไปทันที แต่ช้าไปก้าวเดียว เมื่อมาถึงที่นี่เปลวไฟก็ประทุขึ้นแล้ว เฟยซิงเหมินที่เหลือส่วนใหญ่ต่างล้มลงและเสียชีวิต เหลือเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดคนสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ทางตะวันตกเฉียงใต้ พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านประมุขตระกูลซือกับชือรุ่ยเออร์เป็นอย่างใดบ้าง”
“ท่านประมุขตระกูลซือหลบหนีไปเพื่อปกป้องคนในตระกูลได้ทำลายจิตวิญาณจนสิ้น ตอนนี้คุณหนูรองซือไม่เป็นอันใดร้ายแรง เพียงแต่นางยังคงเศร้าเสียใจและไม่ยอมพูดมาตลอด พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าใครเมื่อเจอกับเหตุการณ์กระทันหันเช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะยอมรับได้
หรงซิวพยักหน้า
“ข้าจะไปดูสักหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”
แม้ว่าเหล่าทหารจะรู้สึกประหลาดใจ แต่พวกเขาก็เคารพและเชื่อฟังคำสั่งของหรงซิวเท่านั้น จึงไม่ถามหรือขัดขวางอันใดให้มากความ เพียงแต่รับคำสั่งด้วยความเคารพและรอคอยอยู่ที่เดิม
บ้านเรือนทุกหลังถูกทะเลเพลิงกลืนกินจนหมด เหลือเพียงโครงร่างที่เลือนรางเท่านั้น
อุณหภูมิสูงที่ร้อนระอุทำให้อุณหภูมิของอากาศรอบ ๆ สูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่แม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลแทบจะเหือดแห้งลง
พื้นที่ทุกตารางนิ้วกำลังเผชิญกับความร้อนอบอ้าวที่น่าสะพรึงกลัว จนแทบจะหลอมละลายจนผิดรูปร่าง
หรงซิวมองลงไปด้านล่าง
ในเปลวไฟที่ไม่มีที่สิ้นสุด กระจกบานใหญ่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เปลวไฟเหล่านั้นเต้นรําอย่างบ้าคลั่งที่ แต่ดูเหมือนมีความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งและไม่กล้าเข้าใกล้กระจกบานนั้นแม้แต่ครึ่งเดียว
ไม่นานก็มีร่างหนึ่งสะท้อนอยู่ในกระจก
ใบหน้านั่นเหมือนกับหรงซิวทุกประการ
ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำสายตาดำมืดลึกล้ำ
เย่อหยิ่ง เยือกเย็น สูงศักดิ์!
เขาจ้องมองหรงซิว และพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”
…
“ท่านประมุข ท่านนั่งลงพักสักครู่เถอะ?”
เสียงแก่ๆ ดังขึ้นมาจากด้านลัง
ชือรุ่ยเออร์ส่ายหน้าและไม่พูดอันใด และยังคงมองออกไปไกลๆ
ที่นี่อยู่ห่างจากที่นั่นหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นแสงไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าได้
คาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเลวร้ายเพียงใด
แต่พวกเขา…เพิ่งหนีออกจากสถานที่นรกนั่น
ซึ่งที่นั่นเคยเป็นบ้านของนาง
เมื่อท่านพ่อของนางเสียชีวิตไป นางได้รับคำสั่งให้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ
ดวงตาของนางแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวไหลออกมา
อีกทั้งเปลวไฟนั่นทำให้น้ำตาของนางระเหยไปจนหมด
ตอนนี้แม้แต่แรงจะร้องไห้นางยังไม่มี เพียงแค่อาศัยกำลังสุดท้ายเพื่อยืนหยัดต่อไปก็เท่านั้น
ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังนางเห็นถึงความทุกข์ใจของนาง เมื่อคิดไปคิดมาเขาจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า
“นายท่าน ท่านพยายามอย่างเต็มที่แล้ว หากท่านไม่แจ้งขอความช่วยเหลือออกไป คนของพระราชวังเมฆสวรรค์ก็คงไม่มา เกรงว่าตอนนี้พวกเรา…”
ชือรุ่ยเออร์มีสีหน้าหวาดกลัว
อันที่จริงในเวลานั้นนางไม่มีความคาดหวังมากนัก เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป
สิ่งเดียวที่นางคิดได้ในเวลานั้น ก็คือขอความช่วยเหลือจากท่าเรือดอกท้อ
โชคดีที่คนของพระราชวังเมฆาสวรรค์มาทันเวลาพอดี
ไม่เช่นนั้นเฟยซิงเหมินทั้งหมดของพวกเขาอาจไม่สามารถรักษาไว้ได้
ขณะนี้เงาร่างสูงใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจากระยะไกล
เป็นหรงซิว!
ด้านหลังของเขายังมีทหารเกาะดำของพระราวังเมฆาสวรรค์ติดตามมาด้วย
เมื่อทุกคนที่อยู่ด้านหลังชือรุ่ยเออร์เห็นเข้าก็ทยอยกันลุกขึ้นยืน
“ฝ่าบาท”
ชือรุ่ยเออร์ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและทำความเคารพอย่างจริงจังด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
“ขอพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา”
หรงซิวพูดขึ้น
“ตอนนี้เฟยซิงเหมินถูกทำลายแล้ว พวกเจ้าไม่สามารถกลับไปได้แล้ว อีกสักครู่พวกเขาจะพาพวกเจ้ากลับไปที่ท่าเรือดอกท้อ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปพวกเจ้าก็อยู่ที่นั่นก่อน เจ้าเป็นเพื่อนของเยว่เออร์ นางจะช่วยเจ้าจัดการด้วยตนเอง”
หรงซิวพยักหน้า และหันตัวกลับเพื่อจะออกไป
ชือรุ่ยเออร์ชะงักและเอ่ยถามขึ้นในทันที
“ฝ่าบาทจะไม่กลับไปที่ท่าเรื่อดอกท้อกับพวกข้าหรือเพคะ?”
หรงซิวก้าวเท้าเดินต่อไปโดยไม่หยุด
“พระราชวังเมฆาสวรรค์มีเรื่องสำคัญที่ต้องกลับไปจัดการ ดังนั้นตอนนี้ข้ายังกลับไปไม่ได้”
ชือรุ่ยเออร์ตกใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้ารับ
จู่ๆ เฟยซิงเหมินก็เกิดเรื่องเช่นนี้ คาดว่าหรงซิวคงเป็นห่วงพระราชวังเมฆาสวรรค์อยู่ไม่น้อย กลับไปดูสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
ก่อนที่เธอจะพูดอันใดต่อ หรงซิวก็พาอวี๋มั่วออกไปทันที
เมื่อมองดูร่างที่ห่างไกลหายวับไปอย่างรวดเร็ว ชือรุ่ยเออร์รู้สึกไม่สบายใจขึ้นหลายส่วนอย่างอธิบายไม่ได้
ในเวลานี้สะพานที่ขอบฟ้าได้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ชือรุ่ยเออร์ค่อยๆ กำมือแน่นขึ้น
…
ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
หลังจากแน่ใจว่ากลุ่มคนส่วนใหญ่เพียงแค่หลับสนิท ถวนจื่อก็ค่อยๆ รู้สึกวางใจลงบ้าง
เพียงแต่จากนี้ไป เหตุใดการตามหาอี้เจากลับเป็นปัญหาใหญ่เช่นนี้
“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอี้เจาและคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างใดกันบ้างในตอนนี้”
เมื่อฉู่หลิวเยว่คิดถึงเรื่องนี้และมองไปทางถวนจื่อ
“ถวนจื่อ พวกเขายังอยู่ที่เขา…หรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ!”
ถวนจื่อพยักหน้าและชี้ไปทางตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
“ผู้อาวุโสเฒ่าอี้เจาและพวกเขาดูเหมือนจะอยู่ที่นี่กันทั้งหมด! แต่ว่า…”
ถวนจื่อกัดมือและพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก
“เหมือนจะขาดไปหนึ่งคน”
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นรัวและถามขึ้น
“ขาดใครหรือ”
“ผู้อาวุโสใหญ่”
อี้กง!
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
เดิมที่อี้กงกับถวนจือไม่ได้ขัดแย้งกัน หลังจากที่ถวนจื่อกลายเป็นนายน้อย อี้กงก็ยิ่งถูกโจมตีอย่างหนัก จนแทบไม่ได้ออกมาเลย
เหตุใดจู่ๆ ถึงหายไปล่ะ?
…
ในกรงขังที่มืดมิดและคับแคบ หลานเซียวกำลังยืนพิงกำแพงครึ่งหนึ่งพลางไขว้ขาด้วยสีหน้าที่ยังคงดูสบาย
“ข้าว่า เจ้าเป็นแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ เดิมที่ทุกคนล้วนหารือและลงนามในพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว เจ้าคิดจะทำลายมันฝ่ายเดียวได้อย่างใด? และยังขังนายน้อยกับคนอื่นๆ ไว้อีก? เจ้าคงไม่คิดจริงๆ ว่า หากขังแล้วพวกข้าจะเชื่อฟังเจ้าจริงๆ หรอกนะ?”
เขาหัวเราะเย้ยหยัยและพลิกตัวกลับไป
“ทะเลก็สูญสิ้นไปนานเช่นนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ? ช่างไร้เดียงสาจริงๆ ข้าจะแนะนำเจ้าสักหน่อย นายน้อยมีอารมณ์รุนแรงอย่างมาก ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถคุณควบคุมได้ เจ้าควรจะรีบปล่อยนายน้อยออกไปก่อนที่นายน้อยจะโกรธ”
ในที่สุดเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบแห้งก็ดังขึ้น
“พวกเจ้าหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์กันเอง เดิมที่เป็นพวกเจ้าที่ละเมิดสัญญาก่อน หากจะลงโทษจริงๆ น่าจะเป็นพวกเจ้าคนแรก!”
หลานเซียวส่งเสียง “เฮ้ย” พลางนั่งลง และพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้น
“นายน้อยไม่เพียงหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่นางหนูเยว่เออร์เป็นคนส่งทัณฑ์สวรรค์นั่นมา เหตุใดถึงอิจฉาเล่า?”
“นายน้อยขอเตือนท่านสักคำ สิ่งที่นางส่งมา…คือทัณฑ์สวรรค์สีทอง!”