ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2192 นางไม่มีตราสัญลักษณ์
ตอนที่ 2192 นางไม่มีตราสัญลักษณ์
………………..
ตึ๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง
ช่วงเวลาเปิดประตูแดนสวรรค์ยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
ทามกลางฝูงชนในตอนแรกยังมีเสียงพูดคุยพึมพำอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าใกล้มันบรรยากาศก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาค่อยๆ เงียบเสียงลง
ในที่สุดทุกคนต่างมุ่งหน้าไปอย่างเงียบสงบ
มีเพียงความตื่นเต้นและความความหวังที่เปล่าประกายวาววับในดวงตาของพวกเขา อารมณ์ของพวกเขาในเวลานี้ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่แสดงบนใบหน้า
…
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าที่ละก้าว
นางได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นอย่างชัดเจน เลือดภายในร่างกายเหมือนจะค่อยๆ ไหลเวียนในระดับที่เร็วขึ้น
ในแก้วหูมีเลือดค่อยๆ ไหลออกมา
นางรู้สึกว่าในตำแหน่งตันเถียน เหมือนมีอันใดบางอย่างพุ่งพล่านออกมา
แต่ทุกครั้งที่นางต้องการจับสังเกตอย่างละเอียด อาการสั่นไหวที่อธิบายไม่ได้นั้นกลับหายไป
สิ่งนี้ทำให้กระบวนการยาวนานเป็นพิเศษ
ทุกช่วงเสียงระฆังจะดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ตึ๊ง!
“ลำดับที่สิบแล้ว”
ซั่งกวนจิ้งพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ขณะนี้พวกเขาอยู่ห่างจากประตูใหญ่บานนั้น เหลือเพียงระยะสุดท้ายแล้ว
มีคนมาถึงหน้าประตูแดนสวรรค์และหยุดลง
เมื่อเสียงระฆังครั้งที่สิบสองดังขึ้น ฉู่หลิวเยว่และผู้ติดตามก็มาถึงหน้าประตูพอดี
นางยืนอยู่หลังฝูงชนพลางแหงนมองประตูใหญ่บานนั้นตรงด้านหน้า
ประตูบานนี้สูงมาก ทำให้คนที่ยืนอยู่ที่นี่ดูตัวเล็กนิดเดียวไปเลย
แสงที่แพร่กระจายนับไม่ถ้วนได้ร่างเป็นรูปโครงของมันขึ้น แต่รูปร่างกลับมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เมฆและหมอกบางๆ ปกคลุมเอาไว้ จนทุกคนไม่สามารถมองลอดไปได้
ทว่าความทรงพลังที่หนาแน่นนั้น ทุกคนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่นึกถึงตำหนักแห่งนั้นในทะเลทรายจันทราสีชาดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั่น…
…
หลังจากรอคอยมาเป็นเวลานานเสียงระฆังครั้งที่สองในที่สุดก็ดังขึ้น
ตึ๊ง!
เสียงระฆังดังสนั่นก้องกังวลไปทั่วระหว่างสวรรค์และโลก!
ต่อมาประตูใหญ่บานนั้นก็ค่อยๆ เปิดออกในที่สุด!
แกร๊ก
ทุกคนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและจ้องมองด้วยความหวัง!
แสงสีทองเปล่งประกายอันเจิดจ้า ทำให้แสบตาจนยากที่ลืมตาได้
ฉู่หลิวเยว่หันไปด้านข้าง และค่อยๆ หรี่ตาลง
ผ่านไปสักพักแสงสว่างนั้นจึงค่อยๆ เลือนหายไป
ชายคนหนึ่งที่ดูอายุประมาณสามสิบ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีเทาเดินออกจากประตูใหญ่
ทันทีที่เขาปรากฏตัว ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกสั่นสะท้านในใจ
นางชำเลืองมองชายผู้นั้นด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง
รูปร่างสูงสง่า ใบหน้างดงาม ระหว่างคิ้วหน้าตาเผยให้เห็นความเย่อหยิ่งบนใบหน้านั้น
เขายืนตรงหน้าประตู และกวาดตามองบนร่างของทุกคนด้วยด้วยสายตาที่สง่างามและพินิจพิเคราะห์
เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ได้
“ประตูแดนสวรรค์แห่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ทุกหมื่นปีจะเปิดออกครั้งหนึ่ง เพื่อค้นหาผู้ฝึกตนที่เก่งที่สุดในใต้หล้าและขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อทะลวงขั้นเทพ! ครั้งนี้เมื่อประตูแดนสวรรค์เปิด พวกเจ้ากลุ่มแรกที่มาถึงแสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา”
ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ แต่กลับตั้งมั่นด้วยใจจดจ่อจนไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
“ข้าคือจิ้นอวิ๋นไหล เสินสื่อสำดับที่เจ็ดแห่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้รับผิดชอบพาพวกเจ้าเข้าตำหนักในครั้งนี้ พวกเจ้าเพียงก้าวมาข้างหน้าทีละคนเพื่อลงบันทึกก็พอ”
ขณะที่พูดเขายกมือขึ้น สมุดเล่มหนาก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
จากนั้นเขาเปิดสมุดออก แสงสว่างวาบบนมืออีกข้างหนึ่งเพื่อเรียกพู่กันขนนกสีทองแดงออกมา
เมื่อเห็นขนนกนั่นในมือของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็ตกตะลึงในทันที!
นั่นคือขนนกของหงส์ทองคำ!
“อาเยว่! ข้าจะออกไป! อาเยว่!”
ถวนจื่อก็สัมผัสได้ถึงพลังปรานนั่นที่เผยออกมาชั่วครู่
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างปลอบใจว่า
“ถวนจื่อ อย่าเพิ่งรีบร้อน รอหลังจากเข้าประตูแดนสวรรค์แล้วค่อยตรวจสอบก็ยังไม่สาย”
ไม่ว่าอย่างใดก็ตามครั้งนี้จะต้องไม่ผิดสิ่งใดพลาด
เมื่อยินนางพูดเช่นนี้ จวนจื่อจึงสงบลงในที่สุด
“เช่น เช่นนั้นเจ้าต้องดูให้ละเอียดว่านั่นคือขนนกของผู้เฒ่าประมุขหรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ โดยไม่แสดงสีหน้าอันใด
“ชื่อแซ่”
ในมือหนึ่งของจิ้นอวิ๋นไหลถือบันทึกรายชื่อ อีกมือหนึ่งจับพู่กัน และถามด้วยเสียงเข้ม
“ซ่งชิง”
คนหน้าสุดที่ก้าวไปข้างหน้าคือผู้อาวุโสชุดดำที่ก้าวขึ้นสะพานเงินเป็นคนแรก
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยพบเจอกับอุปสรรคมาไม่น้อย แต่ในเวลานี้ก็ยากที่จะซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
จิ้นอวิ๋นไหลยกมือขึ้นปัดเบาๆ บนหน้าผากของซ่งชิง
ในชั่วพริบตาซ่งชิงรู้สึกราวกับมีดวงตาข้างหนึ่งจากด้านในตาของตนจ้องมองออกมาข้างนอก!
พลังในร่างของเขาพลุ่งพล่าน จากนั้นตราสัญลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก
นั่นเป็นตราสัญลักษณ์พลังแห่งสายเลือดของเขาอย่างแน่นอน
จิ้นอวิ๋นไหลพยักหน้า และเขียนชื่อของเขาลงบนบัญชีรายชื่อ
“ผ่าน คนต่อไป”
เดิมทีซ่งชิงตื่นเต้นอยู่บ้าง และไม่คิดว่าจะผ่านการตรวจสอบได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ด้วยความดีใจเขาจึงรีบตอบกลับในทันที
“ขอบคุณท่านจิ้นเสินสื่อ”
“ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ชื่อของสินสื่อถือได้ว่าเป็นเกียรติที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีชื่อแซ่ พวกเจ้าเรียกข้าว่าเสินสื่อลำดับที่เจ็ดก็พอ”
จิ้นอวิ๋นไหลพูดเสียงเรียบเฉย
หัวใจของซ่งชิงสั่นระรัว พลางก้มลงและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าจิ้นอวิ๋นไหลไม่ได้โกรธอันใด เขาจึงเบาใจและก้าวเข้าไปในประตูแดนสวรรค์!
ทุกคนมองฉากนี้ด้วยความอิจฉา
คนที่สองพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตนเองและเดินขึ้นไปข้างหน้า
ขั้นตอนเหมือนกับคนก่อนหน้า หลังจากแจ้งชื่อของตนเองกับเขาจิ้นอวิ๋นไหลก็ใช้ขนนกปัดบนหน้าผากของเขาอีกครั้ง
มีคนมาที่นี่ทั้งหมดเพียงสามสิบเอ็ดคน เมื่อจิ้นอวิ๋นไหลทำการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งก็เข้าไปด้านในได้เพียงไม่นาน
ไม่นานก็ถึงคราวของชายหนุ่มก่อนหน้าที่ขอความช่วยเหลือจากฉู่หลิวเยว่แต่ถูกปฏิเสธอไป
เขาก้มลงทำความเคารพด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุภาพ และกล่าวด้วยความเคารพอย่างที่สุดว่า
“ข้าน้อยเฉิงเพ่ย คาราวะใต้เท้าเสินสื่อลำดับที่เจ็ด! ข้าชื่นชมตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว บัดนี้…”
“อย่าพูดไร้สาระให้มากนัก”
บนหน้าของจิ้นอวิ๋นไหลแสดงความหงุดหงิดออกมาบางส่วน และมีคำเตือนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง สิ่งอื่นคือความไม่จริง เข้าใจหรือไม่”
กลุ่มคนที่มองดูจำนวนไม่น้อยแสดงสีหน้าเยาะเย้ยออกมา
คิดจะประจบสอพอ แต่กลับทำให้ไม่พอใจ
ไม่ได้ดูเลยว่าที่นี่คือสถานที่อันใด
เฉิงเพ่ยหน้าขาวซีด และเพิ่งรับรู้ได้ว่าตนเองทำเรื่องอันใดโง่ๆ ลงไป จึงรีบพูดขึ้นในทันทีว่า
“ทราบ ทราบแล้ว!”
จิ้นอวิ๋นไหลใช้ขนนกนั่นปัดไปบนหน้าผากของเขา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ผ่าน คนต่อไป”
เฉิงเพ่ยเดินเข้ามาด้วยขาที่อ่อนแรง ต้องรอสักพักหนึ่งถึงจะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้
ไม่นานทุกคนก็ได้รับการตรวจสอบจนเสร็จสิ้น เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่และอีกหกคนเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่เดินขึ้นไปข้างหน้า
“ซั่งกวนเยว่”
จิ้นอวิ๋นไหลเหลือบมองนางแวบหนึ่งและเลิกคิ้วขึ้น
“อายยุยังน้อยก็ทะลวงขั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่ธรรมดาเลย”
“ขอบพระคุณท่านเสินสื่อสำดับที่เจ็ดที่ชม”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับอย่างนอบน้อมและเป็นกันเอง
จิ้นอวิ๋นไหลพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นเขาใช้ขนนกนั่นปัดบนหน้าผากของฉู่หลิวเยว่
หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็แข็งค้างในทันที
บนหน้าผากของฉู่หลิวเยว่เรียบเนียนเหมือนเดิม และไม่มีตราสัญลักษณ์ปรากฏวาบออกมา!