ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2193 เมื่อก่อนเจ้าเคยมาที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์?
ตอนที่ 2193 เมื่อก่อนเจ้าเคยมาที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์?
………………..
จิ้นอวิ๋นไหลลองทดสอบอีกครั้ง
เมื่อขนนกสีทองปัดเบาๆ บนหน้าผากของนางแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สายตาของเขาเย็นชาและเข้มงวดขึ้นพลางจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความหมายที่เต็มไปด้วยการพิจารณาอย่างละเอียด
“ตราสัญลักษณ์ของเจ้าล่ะ?”
“ตราสัญลักษณ์?”
ในใจฉู่หลิวเยว่สั่นไหว เพียงชั่วครู่ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
นางชะงักและพูดขึ้น
“เรียนเสินสื่อสำดับที่เจ็ด ข้าไม่มีตราสัญลักษณ์”
“ไม่มี?”
จิ้นอวิ๋นไหลเลิกคิ้วขึ้น
ฉู่หลิวเยว่อธิบายต่อ
“ข้า…มาจากนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ ดังนั้นจึงไม่มีตราสัญลักษณ์ของพลังแห่งสายเลือด”
แน่นอนว่านางมี แม้ว่านางจะไม่ได้เกิดในอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่ในร่างของนางกลับมีตราสัญลักษณ์แปลกๆ อยู่จริงๆ
ไม่เช่นนี้ในตอนแรกที่ใช้นาฬิกาไร้กาลเวลาทดสอบระดับพลังแห่งสายเลือดในพระราชวังเมฆาสวรรค์นางก็ไม่สามารถตรวจสอบ
“สิบเอ็ด” ได้”
แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้แน่นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่ที่นางเกิดใหม่ในร่างของฉู่หลิวเยว่ ตราสัญลักษณ์แปลกๆ นี้ก็ปรากฏตามมาด้วย
ในตอนแรกนางยังไม่สนใจมากนัก ต่อมาเมื่อนางไปที่อาณาจักรเสิ่นซวี่จึงได้รู้ว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่าตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์
ทว่าสิ่งนั้นบางครั้งมีบางครั้งกลับไม่มี แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่อาจควบคุมมันได้
จิ้นอวิ๋นไหลพิจารณานางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ความชื่นชมในดวงตาหายไปในทันที แม้กระทั่งสีหน้าดูถูกบางส่วนยังคงแวบเข้ามา
แม้ท่าทางเช่นนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ฉู่หลิวเยว่ก็มองเห็นมันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
หน้าผากของนางค่อยๆ ย่นขึ้นอย่างมิอาจตรวจสอบได้
ทว่าในเมื่อไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น เหตุใดเสินสื่อสำดับที่เจ็ดท่านนี้ ดูเหมือนจะไม่ชอบนางขึ้นมาในทันที?
เมื่อหลายคนได้ยินว่านางมาจากนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ และไม่มีพลังสืบทอดแห่งสายเลือด กลับมองนางด้วยสายตาอันน่าทึ่ง
เพราะจากแง่มุมง่ายๆ หมายความว่าความสามารถในตัวของนางแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นนางจึงสามารถบุกทะลวงไปสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ท่านนี้…ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกัน
จิ้นอวิ๋นไหลหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วส่งให้
“คนที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะต้องผูกถวนซิ่นจื่อนี้ไว้กับตัว”
ฉู่หลิวเยว่รับของสิ่งนั้นมา และมองมันอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง
นี่คือเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ทำมาจากเชือกถักสีแดง ด้านบนมีลูกบอลใสเท่าตัวหมากรุกติดอยู่
พื้นผิวของลูกบอลไม่ใช่ทองหรือหยก แต่เรียบเนียนสุกใส
ด้านในมีตัวอักษร “มายา” สีทองเล็กๆ อยู่
“คนที่ไม่มีพลังแห่งสายเลือด ความเป็นไปได้ที่จะขึ้นสวรรค์ทะลวงเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะเป็นศูนย์ เดิมทีเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่ แต่ในเมื่อเจ้าข้ามสะพานมาได้แล้ว ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า”
“ภายในเวลาที่กำหนด หากเจ้าไม่สามารถฝึกฝนความก้าวหน้าได้ตามข้อกำหนด ตัวอักษรในถวนซิ่นจื่อนี้จะค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อมันหายไปก็ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องออกจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจหรือไม่”
ที่แท้สิ่งนี้คือของที่เอาไว้ตรวจจับระดับความเร็วของการฝึกฝน และดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพลังแห่งเลือดอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ผูกถวนซิ่นจื่อไว้บนเอว
“ขอพระคุณเสินสื่อสำดับที่เจ็ด”
จิ้นอวิ๋นไหลไม่ได้สนใจนางมากนัก และยกคางขึ้น
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ท่าทางของเขาเย็นชาลงอย่างมาจนเห็นได้ชัด
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบฉู่หลิวเยว่ แม้กระทั่งครึ่งคำก็ไม่อยากจะเอ่ยออกมา
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจอะไรนัก นางจึงยกเท้าข้ามธรณีประตูไป
ในชั่วพริบตาไข่มุกธาราในตันเถียนของนาง จู่ๆ ก็สั่นขึ้นเบาๆ
ในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว จึงพยายามกดคลื่นพลังนี้ลงในทันที
ยังดีที่เป็นการเคลื่อนไหวระดับเล็กน้อย จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
เมื่อนางมาถึงตำแหน่งที่ไม่ไกลจากซงชิงและคนอื่นๆ จึงรอคอยอย่างเงียบๆ ให้คนที่เหลือเข้ามา
“เฮ้อ คิดไม่ถึงนายท่านเยว่ก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ”
เฉิงเพ่ยพูดขึ้นอย่างเหน็บแนบ
คนมามากมายเช่นนี้ มีเพียงฉู่หลิวเยว่เท่านั้นที่ได้รับคําชมจากจิ้นอวิ๋นไหล
เดิมทีพวกเขาคิดว่า ครั้งนี้ฉู่หลิวเยว่จะก้าวหน้าอย่างราบรื่นเสียแล้ว
ใครจะรู้ว่าเพียงเพราะนางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ท่าทีของจิ้นอวิ๋นไหลก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ครั้งนี้วันที่ฉู่หลิวเยว่ได้เข้าสู้ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะผ่านไปได้ไม่ง่ายนัก
จิ้นอวิ๋นไหลแจ้งชัดเจนแล้วว่าในเมื่อนางเป็นเช่นนี้คงไม่มีทางขึ้นสวรรค์ทะลวงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแน่นอน
“นายท่านเยว่เป็นยอดอัจฉริยะความสามารถโดดเด่น ทะลวงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เดิมทีข้ารอดูท่านเยว่มุ่งสู่ความสำเร็จต่อไปทีละขั้นๆ แต่น่าเสียดาย…ดูแล้วในตอนนี้คงไม่สามารถ ช่างน่าเสียดายจริง!”
นัยน์ตาของเฉิงเพ่ยมิอาจปกปิดความยินดีในความทุกข์ของคนอื่นเอาไว้ได้
ทุกคนพยายามอย่างหนักจนมาถึงที่นี่ก็เพื่อทำลายอุปสรรคและก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น
แต่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่ทันได้ทำได้อะไรเลย ก็ถูกจิ้นอวิ๋นไหลตัดสินเสียแล้ว
สิ่งนี้ไม่เท่ากับทำลายความคาดหวังและความปรารถนาทั้งหมดของนางหรอกหรือ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะและพูดเสียงเบาขึ้นว่า
“ข้าจำได้ว่าในตอนแรกเกือบใช้มือนี้ส่งท่านประมุขอี้ไปตามทาง ทว่าข้าผู้นี้เป็นคนที่เคารพผู้อาวุโสและรักเด็กมาโดยตลอด โดยทั่วไปแล้วจะไม่ลงมือฆ่าใคร เว้นเสียแต่ว่าจะทนไม่ได้”
“เจ้า!”
สีหน้าของเฉิงเพ่ยทั้งแดงและขาวผสมกัน เขาคิดจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่สนใจของฉู่หลิวเยว่ ในใจกลับเกิดความหวาดกลัวขึ้นบางส่วน
เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอี้เหวินเทา
ในตอนแรกเมื่อฉู่หลิวเยว่ยังเป็นเทพขั้นสูง ก็สามารถเอาชีวิตครึ่งนึงของอี้เหวินเทามาได้โดยตรง นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วกันเล่า?
อีกทั้งก่อนหน้าที่เมืองทะเลนั่น ทุกคนล้วนเห็นอย่างกระจ่างชัดว่าพลังของนางแข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้จริงๆ!
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้…ไม่อาจยั่วยุได้!
อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ การแข็งข้อกับนางย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมนัก
เฉิงเพ่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งและสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง
“ฮึ! หวังว่านายท่านเยว่จะมั่นใจเช่นนี้ไปได้ตลอด!”
เข้าสู่ตำหนักมายาสักดิ์สิทธิ์ ดูว่านางจะยังหยิ่งผยองได้สักแค่ไหน!
คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่พูดอะไรมากนัก เพียงแต่สบตากันไปมาด้วยสีหน้าที่ยากจะพูดออกมา
เดิมทีพวกเขาต้องการเอาชนะฉู่หลิวเยว่ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่แน่ว่านางอาจเป็นตัวถ่วง…
เช่นนี้แล้วพวกเขาจึงต้องคิดให้รอบคอบอีกครั้ง
สำหรับสายตารอบๆ แต่ละคน ฉู่หลิวเยว่จึงแสร้งมองไม่เห็น
นางรู้ดีว่าในใจของคนเหล่านี้ล้วนมีแผนการของแต่ละคนอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีท่าทีต่อนางอย่างไร นางล้วนไม่สนใจแต่อย่างใด
ตั้งแต่แรกเริ่มเป้าหมายที่นางมาที่นี่ไม่เหมือนกับพวกเขา
การไปมาหาสู่กันให้น้อยลง ก็จะสามารถลดความยุ่งยากลงได้
นางมองดูหลายคนที่ยังอยู่นอกประตู
คนที่ต่อจากนางคือซั่งกวนจิ้ง
เขาก็ไม่มีตราสัญลักษณ์เหมือนกับฉู่หลิวเยว่
จากนั้นถวนซิ่นจื่อก็เพิ่มขึ้นที่เอวของเขา
ต่อจากนั้นก็เป็นเฉินอี
จิ้นอวิ๋นไหลเห็นเขา จู่ๆ ก็ชะงักไปครู่หนึ่งและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้า…เคยมาตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เมื่อก่อนหน้านี้ด้วยหรือ”
………………..