ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2194 มองไม่ออก
ตอนที่ 2194 มองไม่ออก
………………..
หลังจากถามคำถามนี้ออกไป ตัวของจิ้นอวิ๋นไหลก็ตกตะลึง
เป็นเพราะเขาสับสนจึงได้ถามคำถามเช่นนี้
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธ์ทุกๆ หมื่นปีถึงจะเปิดประตูครั้งหนึ่ง ชายผู้นี้จะเคยมาก่อนหน้านี้ได้อย่างไร
“ไม่เคย”
เฉินอีตอบกลับอย่างเรียบเฉย ดวงตาเรียวยาวและเย็นชาดูสงบนิ่ง ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจกับคำถามที่อธิบายไม่ได้ของจิ้นอวิ๋นไหล
จิ้นอวิ๋นไหลชำเลืองมองหน้าผากของเขา เป็นดังที่คาดไว้เขาก็เป็นอีกคนที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดเช่นเดียวกัน
เขาพอจะมองออกแล้วว่า คนด้านหลังเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซั่งกวนเยว่ที่เพิ่งเข้าไปผู้นั้น
คาดว่าล้วนมาจากนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่
เขาโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“ผ่าน”
เฉินอีหยิบถวนซิ่นจื่อและข้ามธรณีประตูไป จนมาอยู่ด้านข้างฉู่หลิวเยว่
จิ้นอวิ๋นไหลยังหันมามองเขาแวบหนึ่งอีกครั้ง
ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนั้นเมื่อครู่นี้…แท้จริงแล้วเหมือนกับเคยพบที่ไหนมาก่อน
แต่ลมปราณและรูปลักษณ์ของชายผู้นั้น กลับแปลกไปจริงๆ
บางทีเขาอาจจะจำผิดกระมัง…
จิ้นอวิ๋นไหลถอนสายตากลับ
…
ฉู่หลิวเยว่มองจิ้นอวิ๋นไหลจากนั้นมองเฉินอีอีกครั้ง และพูดเสียงต่ำขึ้นว่า
“เฉินอี เมื่อครู่เขา…เหตุใดถึงถามเจ้าเช่นนั้น”
“เจ้าเป็นเทพขั้นสูง?
ในขณะนั้นเสียงของจิ้นอวิ๋นไหลก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่แหงนหน้ามอง คนที่กำลังได้รับการตรวจสอบคือหัวซวงซวง
เขาไม่เพียงไม่มีตราแห่งสายเลือด แม้แต่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เขาก็ไม่มีเช่นกัน
จิ้นอวิ๋นไหลขมวดคิ้ว ความหงุดหงิดและการดูถูกอย่างปิดไม่มิดปรากฏบนใบหน้าของเขา
“เทพขั้นสูงเข้าไปไม่ได้ เจ้ากลับไปเถอะ!”
หัวซวงซวงชะงักไปครู่หนึ่งและกำหมัดถามขึ้นในทันที
“ขอถามเสินสื่อสำดับที่เจ็ด เป็นเพราะเหตุใด”
“เทพขั้นสูงไม่สามารถผ่านเมืองทะเลนั้นได้ และแน่นอนว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
จิ้นอวิ๋นไหลพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“แต่ว่าตอนนี้พวกข้ามาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดถึงเข้าไปไม่ได้”
หัวซวงซวงยิ้มและเอ่ยถามขึ้น
สีหน้าขอจิ้นอวิ๋นไหลยิ่งนิ่งขึ้น สายตาของเขากวาดมองบนตัวของน้องแปดและเชียงหว่านโจวที่อยู่ด้านหลัง
“พวกเจ้าสามคนล้วนเป็นเทพขั้นสูง?”
อันที่จริงในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าไม่มีเทพขั้นสูงเคยเข้าไป
แต่โดยพื้นฐานพวกเขามีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพลังแห่งสายเลือดก็ไม่ธรรมดา
แต่ทั้งสามคนคนนี้ล้วนเป็นเทพขั้นสูง หากทายไม่ผิดก็น่าจะไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีคนเช่นนี้เข้ามา
“เสินสื่อสำดับที่เจ็ด”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้นในทันที
“พวกเจ้าทั้งสามคนเป็นข้าที่พามา แม้จะใช้วิธีการเล็กน้อย แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครบอกว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ บัดนี้ในเมื่อพวกข้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็ถือว่ามีโชคชะตากับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ หากท่านไม่ให้พวกเขาเข้ามาเพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่เทพขั้นสูง และไม่มีตราสัญลักษณ์ เช่นนั้น…บางทีตั้งแต่แรก คุณไม่ควรตั้งเมืองทะเลด้านล่าง และเลือกกลุ่มคนที่เข้าตาท่านโดยตรงไปเสีย ท่านคิดว่าอย่างไร”
จิ้นอวิ๋นไหลจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้ากล้าไม่น้อยเลยนะ”
กล้าพูดเช่นนี้กับเขา
มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งงอลง
“ข้าแค่พูดความจริงไปสองสามประโยค อีกทั้งนี่ก็เป็นการพิจารณาของท่าน ท่านยังกล่าวอีกว่าประตูแดนสวรรค์ของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เปิดทุกๆ หมื่นปีเพื่อรับผู้ฝึกตนที่โด่นเด่นที่สุด แม้ว่าตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาล้วนโดดเด่นอย่างมาก หากท่านปล่อยให้พวกเขาจากไป สำหรับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น อาจไม่ใช่ความสูญเสีย”
ดูเหมือนจิ้นอวิ๋นไหลจะเคยได้ยินเรื่องตลกอะไรเช่นนี้มาบ้าง
“เมื่อครู่ข้าได้บอกไปแล้ว หากผู้ฝึกตนไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีทางที่จะขึ้นสวรรค์ทะลวงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาในตอนนี้ล้วนไม่ใช่เทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำไป”
“ในเมื่อท่านมั่นใจขนาดนี้ก็ยิ่งควรปล่อยพวกเขาเข้ามา เช่นนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ และยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพโดยรวม สุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่ตัวอักษรบนถวนซิ่นจื่อหายไป คนที่ไม่แข็งแกร่งจะถูกขับไล่ออกจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไปเอง”
จิ้นอวิ๋นไหลเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาของเขาเปลี่ยนไป ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดคำพูดของฉู่หลิวเยว่
จากนั้นครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“ได้ เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่ได้นานเท่าใด”
จากนั้นเขาก็เขียนชื่อของหัวซวงซวงและอีกสามคนลงสมุดรายชื่อในที่สุด และมอบถวนซิ่นจื่อให้แต่ละคน
เมื่อเชียงหว่านโจวอยู่ลำดับสุดท้ายเดินเข้ามา ในที่สุดจิ้นอวิ๋นไหลจึงพูดขึ้น
“พวกเจ้าตามข้ามา”
ขณะที่พูดเขาเดินนำหน้าไป
ซ่งชิงเหลือบมองประตูใหญ่ที่ยังเปิดอยู่ และถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เสินสื่อสำดับที่เจ็ด ประตูนแดนสวรรค์นี้…”
จิ้นอวิ๋นไหลไม่หันกลับไปและพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย
“เช่นเดียวกันหากพวกเจ้าไม่สามารถไปถึงระดับหนึ่งได้ภายในหนึ่งปี ก็จะถูกไล่ออกจากที่นี่เช่นกัน”
เมื่อทุกคนได้ยินเข้าต่างพากันตื่นตกใจ
“ขอรับ!”
เดิมทีคิดว่าเข้ามาแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ใครจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
คิดอยากจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีที่ไหนจะง่ายเช่นนั้นกันเล่า
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังดีใจที่เข้ามาได้สำเร็จ แต่บัดนี้กลับหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง
หากเทียบความตื่นเต้นกระวนกระวายใจของพวกเขา ความรู้สึกของฉู่หลิวเยว่กลับสงบนิ่งอย่างมาก
ระยะเวลาหนึ่งปีนี้สำหรับนางไม่ได้สำคัญอะไรนัก
เพราะที่นางมาที่นี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องการตามหาตู๋กูโม่เป่าและสามคน รวมทั้งอี้เจา
แน่นอนว่าหากเป็นไปได้นางก็อยากรู้อย่างชัดเจนว่า ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นสถานที่แบบใดกันแน่
…
เมื่อก้าวข้ามประตูแดนสวรรค์เข้ามา ตรงหน้าคือถนนอันกว้างใหญ่หาเทียบได้
ถนนเส้นนี้แกะสลักจากหยกดำ เช่นเดียวกับสะพานเงินนั่นด้านบนมีจุดแสงสีเงินที่เปล่งประกายระยิบระยับอย่างเงียบๆ
พวกมันกระจัดกระจายไปทั่ว แสดงให้เห็นความงดงามที่ยากจะอธิบายได้
ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่เหมือนมีกฎเกณฑ์บางอย่าง
แต่สิ่งที่แตกต่างจากสะพานนั้นก็คือ จุดแสงเหล่านี้ถูกสกัดอยู่ใต้หยกสีดำนั่น
ชั้นหยกโปร่งแสงที่บางอย่างมากได้ปกคลุมไว้อย่างสมบูรณ์ กลุ่มแสงอันหนาแน่นส่องสว่างอย่างเจิดจรัส
“นายท่าน สิ่งเหล่านี้ก็คือตำหนักมาจาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
จากประสบการณ์ก่อนหน้า ตอนนี้เมื่อน้องแปดได้เห็นฉากนี้ ก็เชื่อมโยงกับสะพานเงินนั้นก่อนหน้าโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
แม้จะไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่นางก็มั่นใจว่า สิ่งเหล่านั้นก็คือค่ายกลจริงๆ
อีกทั้ง…หากเทียบกับระดับข้างนอกแล้ว เกรงว่าจะสูงหรือต่ำกว่าเท่านั้น
“ถนนสายนี้ทอดยาวจากประตูแดนสวรรค์ไปยังตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ด้านบนมีค่ายกลนับไม่ถ้วนมาบรรจบกัน ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างหรือความมืดมิดล้วนเปล่งประกายราวกับแสงดาว แสงทั้งหมดที่ส่องสว่างจึงถูกเรียกว่าถนนแห่งดวงดาว”
จิ้นอวิ๋นไหลอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ค่ายกลที่อยู่ด้านบนนี้ สามารถฝึกฝนวิชาได้”
สีหน้าทุกคนตื่นตกใจ
“มากมายเช่นนี้ ข้าจะเข้าใจการฝึกฝนได้อย่างไร”
ต้องรู้ว่าแต่ละค่ายกลที่ระดับสูงล้วนเป็นสมบัติที่ไม่มีตัวตน
แม้แต่พวกเขาที่เกิดจากตระกูลชั้นสูง ก็ไม่อาจละทิ้งที่จะนําสมบัติของตนออกมาได้
อย่างไรก็ตามตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี้ กลับมีค่ายกลมากมายเช่นนี้ ทั้งหมดถูกประทับไว้บนทางแห่งดวงดาว!
จู่ๆ จิ้นอวิ๋นไหลก็หัวเราะและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ค่ายกลของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่กลัวที่พวกเจ้าจะมองเห็น แต่เกรงว่าพวกเจ้า…จะมองไม่ออก”
………………..