ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2197 ขนนกทองคำบรรพบุรุษลำดับที่สอง
ตอนที่ 2197 ขนนกทองคำบรรพบุรุษลำดับที่สอง
………………..
หลังจากฉู่หลิวเยว่และผู้ติดตามจากไป ซ่งชิงที่เหลือและคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปค้นหาบ้านของตนเอง
ร่างบนเส้นทางแห่งดวงดาวหายไปอย่างรวดเร็วและเงียบสงัดลงอีกครั้ง
เซียวหรานจ้องมองถนนดวงดาว ดูเหมือนจิตใจล่อยลอยไป ผ่านไปสักพักจึงหันกลับเข้าห้องไป
ขณะที่เดินไปพลางก็พูดพึมพำไปพลาง
“ไม่ง่ายเลยที่ต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้สิ่งที่ดี แต่กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีสัญลักษณ์…โธ่เอ้ย ยังต้องรอดูต่อไปอีก!”
…
ลานบ้านของที่นี่แยกเป็นสัดส่วน ระยะห่างระหว่างกันค่อนข้างไกลในระดับหนึ่ง จึงนับว่าสะดวกสำหรับทุกคนที่จะฝึกฝนและไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
เมื่อเดินผ่านข้างๆ ลานนี้มา ก็จะเห็นผู้ฝึกตนบางคนกำลังฝึกฝนอยู่บ้างเป็นครั้งคราว
ในตอนแรกมีบางคนยังสนใจเกี่ยวกับพวกเขา จึงคิดที่จะเข้ามาทักทาย แต่เมื่อเห็นถวนซิ่นจื่อบนตัวของพวกเขา จึงกลับเมินเฉยในทันที แม้กระทั่งการดูถูกและเยาะเย้ยในสายตามากมายก็มิอาจปิดบังเอาไว้ได้
ยังมีบางคนที่สนใจกับการฝึกฝนและไม่ได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย
ดังนั้นตลอดทางมานี้จึงไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขาอีก
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็พบลานที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ที่สามารถรองรับพวกเขาได้ทั้งหกคนในคราวเดียวกัน
หลังจากเข้าไปในลานและปิดประตูใหญ่ ในที่สุดน้องแปดก็อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“คนพวกนี้ช่างเกินไปจริงๆ! เดิมทีที่ข้าต้องอดกลั้นความโกรธมานานหลายปีเช่นนี้ ล้วนไม่เท่าวันนี้! เพียงเพราะตราแห่งสายเลือดอย่างนั้นเหรอ แล้วอย่างใดเล่า!”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น”
หัวซวงซวงส่ายหัวพลางถอนหายใจ
“เจ้าลืมคำพูดเมื่อครู่ของเสินสื่อสำดับที่เจ็ดไปแล้วหรือ เหมือนพวกเราจะถูกกำหนดมาไม่ให้สามารถขึ้นสู่สวรรค์และทะลวงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าพวกเราจะฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถก้าวข้ามธรณีประตูที่เหนือกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นนี้แล้วพวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเรา”
“แม้กระทั่งพวกเรายังต้องกังวลอยู่เสมอว่าตัวอักษรบนนั้นจะหายไป และมีความเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ”
น้องแปดทำเสียงไม่พอใจขึ้น
อันที่จริงนางเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ก็รู้สึกว่ามันยากที่จะทนรับไหว
เพิ่งจะมาถึงก็ถูกทุกคนดูถูกแล้ว หลังจากนี้จะผ่านมันไปได้อย่างไร
“ในเวลานี้สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ หากสามารถเข้ามาและอยู่ต่อได้ก็นับว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนแรกแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่บีบแก้มน้องแปดอย่างน่าเอ็นดู
“เอาเถอะ อย่าโกรธเลย รอยเหี่ยวย่นใกล้จะออกมาแล้ว”
“นายท่าน…”
น้องแปดกอดแขนของนางและโน้มตัวเข้ามาใกล้ด้วยความน้อยใจ
“ทั้งหมดเป็นเพราะน้องแปดไร้ประโยชน์ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้นายท่านพอใจ แต่ยังทำให้นายท่านถูกพวกเขาหัวเราะเยาะอีกด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้น
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า ต่อให้ไม่มีตราสัญลักษณ์ พวกเขาก็ควรปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน นี่เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุด ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าไม่ใช่เทพศักดิ์สิทธิ์…ก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น”
จุดนี้ทุกคนสามารถมองออกอย่างเห็นได้ชัดเจน
“วันนี้เป็นวันแรกที่มาถึงที่นี่ ทุกคนกลับไปพักเถอะ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น รอหลังจากปรับตัวกันได้แล้วค่อยว่ากัน”
…
ฉู่หลิวเยว่ค้นหาห้องหนึ่งและเดินเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แต่โชคดีที่มันสะอาดอย่างมาก
ทันทีที่นางนั่งลง ถวนจื่อก็ตะโกนอย่างควบคุมไม่ได้
“อาเยว่! อาเยว่!”
เพื่อความปลอดภัยฉู่ หลิวเยว่กางค่ายกลไว้บริเวณรอบๆ แล้วเรียกถวนจื่อออกมา
ฉู่หลิวเยว่ลูบหลังนางอย่างปลอบโยนและพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“อย่ากังวลไปเลย ไม่น่าเป็นเช่นนั้น”
นับว่านางก็คุ้นเคยกับอี้เจ้า ดังนั้นจึงสามารถแยกแยะความแตกต่างได้
เมื่อจิ้นอวิ๋นไหลใช้ขนนกปัดบนหน้าผากของนาง นางจึงให้ความสนใจกับการแยกแยะอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ โดยพื้นฐานแล้วมันไม่เกี่ยวข้องกับอี้เจาอย่างแน่นอน
ถวนจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อน ต่อมาจึงกังวลขึ้นอีกครั้ง
“แต่ถ้าไม่ใช่ของผู้เฒ่าประมุขแล้วเป็นของใครล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ตะลึงงันไปชั่วครู่
อันที่จริงสิ่งนี้เป็นปัญหาที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน
ขนนกทองคำบรรพบุรุษป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลที่มีสถานะสูงส่ง แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปล้วนยากที่ได้พบเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ขนนกของพวกเขาเป็นปากกา?
ไม่ว่าผู้คนจากตำหนักมายาศักดิ์จะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ก็ยังมากเกินไป
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และมองถวนจื่อด้วยความไม่แน่ใจอยู่บางส่วน
“ถวนจื่อ จริงๆ แล้วข้าคิดว่า…พลังปราณของขนเส้นนั้น ข้ารู้สึกคุ้นอยู่เล็กน้อย”
ดวงตาคล้ายลูกองุ่นดำของถวนจื่อเบิกกว้างขึ้นและเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักว่า
“ชะ…เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ
“พลังปราณของขนนกนั้น…คล้ายกับขนนกทองคำบรรพบุรุษอย่างมาก”
…
จิ้นอวิ๋นไหลมุ่งหน้าไปตามเส้นทางแห่งดวงดาว และในที่สุดก็มาถึงจัตุรัสหยกดำหน้าตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ในจัตุรัสที่ยิ่งใหญ่และแปลกตา มีชิ้นส่วนที่ขาดหายไปอยู่ตรงกลาง
เขาเป็นผู้ชายที่ดูอายุประมาณยี่สิบแปดหรือยี่สิบเก้าปี รูปโฉมงดงาม ท่าทางสง่างาม
มีเพียงดวงตาคู่ลึกที่ผ่านโลกมามากมายนั้นได้เผยให้เห็นว่าเขาไม่ได้อายุน้อยอย่างที่คิด
“พาทุกคนมาแล้วหรือ?”
จิ้นอวิ๋นไหลคำนับด้วยความเคารพ
“พวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้ว กรอกบันทึกรายชื่อเรียบร้อยขอรับ”
ขณะที่พูด เขาก็มอบบันทึกรายชื่อและขนนกสีทองที่อยู่ในมือให้แก่เขา
ชายผู้นั้นรับมาและเริ่มเปิดดูบันทึกรายชื่อ
เขามองไปพลางและถามไปพลาง
“ได้ยินมาว่าคราวนี้มากันคนหกและไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
จิ้นอวิ๋นไหลพูดขึ้น
“ใช่ขอรับ มีเทพศักดิ์สิทธิ์สามคน เทพขั้นสูงสามคน เทพขั้นสูงทั้งสามนั้นล้วนถูกพามาโดยสตรีที่ชื่อซั่งกวนเยว่”
“ซั่งกวน…เยว่?”
ชายผู้นั้นหัวเราะขึ้น
“ช่างน่าสนใจจริงๆ”
การแสดงออกของจิ้นอวิ๋นไหลไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
“หากไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น ตัวอักษรที่อยู่บนถวนซิ่นจื่อจะหายไปภายในหนึ่งเดือน และเมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะจากไป”
“ที่น่าเสียดายคือ…ซั่งกวนเยว่ผู้นั้น น่าจะมีความสามารถอยู่หลายส่วน”
“หากไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้”
“ก็จริง เดิมทีข้ายังอยากไปดูสักหน่อย…ก็เท่านั้นล่ะ”
ชายผู้นั้นปิดบันทึกลง
“น่าเสียดาย ต้องเสียชื่อที่ดีไป”
…
“ขนนกทองคำบรรพบุรุษ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่หลิวเยว่ ถวนจื่อก็สับสนขึ้นทันที
“แต่ว่า…สิ่งนี้ผิดปกติ! ในตระกูลมีเพียงขนนกทองคำบรรพบุรุษเส้นเดียว และมันอยู่กับข้า!”
ในตอนแรกเพราะนางคือสายเลือดบริสุทธิ์จึงได้รับขนนกทองคำบรรพบุรุษนี้มา
นางไม่เคยได้ยินว่าในโลกนี้ยังมีขนนกเส้นที่สองอีกหรือ
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองถวนจื่อ
“เจ้าแน่ใจเหรอว่ามีเพียงเส้นเดียว?”
“แน่นอนสิ!”
ถวนจื่อชี้ไปที่ระหว่างคิ้วของนาง
“ทุกคน ที่เปิดเส้นชีพจรล้วนใช้ขนนกเส้นนี้ แล้วจะมีเส้นที่สองได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่ขนนกที่อยู่ในมือของจิ้นอวิ๋นไหลนั้นมีพลังปราณที่คล้ายกันมาก…
“อาจมีสิ่งใดบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ พวกเราอย่าเพิ่งรีบตัดสิน ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการยืนยันว่าพวกพี่เป่ายังอยู่ที่นี่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีประมุขอี้เจาอีกด้วย”
ขณะที่พูดนางก็ยื่นมือออก จากนั้นเกราะกิเลนสีม่วงได้วางอยู่บนฝ่ามือของนางอย่างเงียบๆ