ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2200 ไม่จบสิ้น ตอนที่ 2201 ทะลวง!
ตอนที่ 2200 ไม่จบสิ้น ตอนที่ 2201 ทะลวง!
ตอนที่ 2200 ไม่จบสิ้น
ค่ายกลปรมาจารย์ระดับราชา สำหรับฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ไม่ได้มีความยากลำบากแต่อย่างใด
แม้ว่าค่ายกลส่วนใหญ่ที่นี่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่นางสามารถแสดงมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ตู้ม ตู้ม…ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นบนเส้นทางแห่งดวงดาว
ผู้คนที่เฝ้าดูมีความเห็นมากมายในตอนแรก แต่สุดท้ายเสียงเซ็งแซ่นั่นกลับเงียบลงภายใต้เสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อฉู่หลิวเยว่กางค่ายกลหลายสิบแบบออกมาโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ และยังคงไม่มีความต้องการที่จะหยุดพักแม้แต่น้อย ในที่สุดทุกคนก็รับรู้ได้ว่า การคาดเดาในตอนแรกของพวกเขาดูเหมือนจะคาดเดาผิดไปอย่างสิ้นเชิง!
ความแข็งแกร่งของหญิงสาวผู้นี้ เกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้อย่างเห็นได้ชัด!
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ฉู่หลิวเยว่เก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
คนที่เฝ้าดูออกมาจากทั้งสองด้านยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อฉู่หลิวเยว่วาดโครงของค่ายกลลำดับที่หนึ่งร้อยออกมา ก็มีใครบางคนอดไม่ได้ที่จะถามเสียงต่ำขึ้น
“สิ่งนี้ราคาเท่าใด เหตุใดนางถึงยังไม่คิดที่จะหยุดอีก ขณะที่นางกางค่ายกลออกมามากมายเช่นนี้ในชั่วอึดใจเดียว…ปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชาจึงรับไม่ไหวแล้วกระมัง?”
ไม่มีผู้ใดตอบ
เพราะในเวลานี้พวกเขาก็มีความสงสัยในใจเช่นเดียวกัน
หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
แท้จริงแล้วคนที่พยามเดินบนเส้นทางแห่งดวงดาวยังมีน้อยนัก
แต่เมื่อขึ้นมาก็กล้าหาญเช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง
สีหน้างของฉู่หลิวเยว่ทั้งสงบนิ่งและจดจ่อ แสงหลังไหลอยู่ในมือของนางแทบไม่เคยหยุดนิ่งพลางพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่องและรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลใหม่
ค่ายกลบนเส้นทางแห่งดวงดาวนี้อย่างน้อยที่สุดมีมากมายนับหมื่น
นี่…เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
…
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในห้องโถงของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ จิ้นอวิ๋นไหล่วางตำราในมือลงพลางยืนขึ้นและออกมาด้านนอก
เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นร่างเรียวเล็กๆ บนเส้นทางแห่งดวงดาวค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเลือนลาง
ประกายไฟสีเงินพุ่งขึ้น จนส่องสว่างวาววับที่เส้นทางแห่งด้วยดาวอยู่ตรงหน้าของนาง
“มันยังไม่หยุดอีกหรือ”
จิ้นอวิ๋นไหล่เหลือบมองแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ
เขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ที่ฉู่หลิวเยว่ก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งดวงดาว
เดิมที่คิดว่านางเป็นคนไม่กลัวเกรงอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเริ่มต้นใหม่จากศูนย์
แต่ที่เห็นตอนนี้…ที่ที่มีความมุ่งมั่นบางส่วนอย่างแท้จริงถึงกล้าที่จะทำเช่นนี้
“ผู้นั้นก็คือซั่งกวนเยว่ที่้เจ้ากำลังพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
เสียงที่อ่อนโยนและสุขุมดังมาจากด้านหลัง
จิ้นอวิ๋นไหลหันกลับไปมอง แต่กลับไม่แปลกใจเลยที่เขาปรากฏออกมาอย่างกระทันหันและพยักหน้า
“ข้าคิดว่าอีกไม่นานนางก็คงหยุดลง และยอมแพ้ไป แต่ไม่คิดว่า…”
“ตอนนี้นางน่าจะยังอยู่ในค่ายกลปรมาจารย์ระดับราชา?”
“อืม ทว่านั่นคือส่วนน้อยที่สุด ความยากที่แท้จริงยังอยู่เบื้องหลัง”
“เช่นนั้นก็ยากยิ่งนัก ระดับความเร็วนี้เมื่อเทียบกับเจ้าเมื่อก่อน เกรงว่ายังตามหลังอยู่อีกไกล”
จิ้นอวิ๋นไหลมาหยุดชะงักครู่หนึ่ง
“นางอยู่บนนี้ ช่างมากความสามารถจริงๆ”
“แต่ก็น่าเสียดายยิ่งนัก…”
ชายผู้นั้นหัวเราะขึ้น
“แต่เช่นนี้แล้วนางก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกสักพัก ซึ่งข้าสงสัยนักว่าว่านางจะไปที่ใดกันแน่”
สีหน้าของจิ้นอวิ๋นไหลนิ่งเฉย
“คาดการณ์ว่าอย่างมากที่สุดก็สามารถไปถึงปรมาจารย์ระดับราชาและก็ยอมแพ้กระมัง หากไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แต่มู่หยาเฟิงบรรลุความเข้าใจค่ายกลไปกว่าครึ่งของระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีอนาคตที่ดีรอคอยยอยู่”
“นางไม่ธรรมดา เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ”
“ขอรับ”
…
สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ฉู่หลิวเยว่ยังคงยืนอยู่บนเส้นทางแห่งดวงดาว
อักษรที่อยู่บนถวนซิ่นจื่อตรงเอวของนาง ไม่เพียงแต่ไม่หายไป แต่มันกลับยิ่งเข้มและชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
ตอนที่ 2201 ทะลวง!
หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป เห็นได้ชัดว่านางจะสามารถอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นเวลานาน
สายตาของคนที่เฝ้าดูอยู่ทั้งสองฝั่งยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกคนส่วนใหญ่เพียงแค่มารวมตัวกันอย่างคึกคัก เพื่ออยากเห็นว่าคนที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์อย่างฉู่หลิวเยว่จะสามารถแสดงความโดดเด่นอะไรออกมาได้บ้าง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทัศนคติของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ไม่กี่วันมานี้ความแข็งแกร่งที่ฉู่หลิวเยว่แสดงออกทั้งหมดนั้น กลับแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าพวกขาหลายคนอย่างมาก
แม้ว่านางยังสามารถทะลวงค่ายกลปรมาจารย์ระดับราชาได้มาโดยตลอด แต่ข้อได้เปรียบอยู่ที่ระดับความว่องไวที่รวดเร็วอย่างมากของนาง
นับตั้งแต่ที่นางก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งดวงดาวจนถึงตอนนี้ นางยังคงไม่ได้นอนมาเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน และยังศึกษาค่ายกลอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก
จำนวนก็ค่อยๆ สะสมอย่างช้าๆ และมีมากขึ้นจนน่าประทับใจและน่าประหลาดใจอย่างมาก
หากนางยังคงทำเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานนางจะเริ่มบรรลุค่ายกลปรมาจารย์ะดับมหาราชา!
ปัง!
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่แหงนหน้ามองไปข้างหน้า ประกายไฟสีเงินค่อยๆ สว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้ากว่าครึ่งหนึ่ง และก่อนตัวเป็นค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างมาก
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
ค่ายกลนั่น…เหตุใดถึงดูคุ้นตานัก?
น่าเสียดายที่ระยะทางนั้นไกลเกินไป นางจึงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากที่นี่
เมื่อทุกคนได้ยินการเคลื่อนไหว พวกเขาต่างพามองไปทางด้านนั้น
“ค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์อีกรูปแบบหนึ่ง? ระดับความเร็วของมู่หยาเฟิงก็รวดเร็วเกินไปกระมัง? ระยะเวลาที่นางบรรลุในครั้งก่อน ดูเหมือนเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ”
“ใช่นะสิ! ด้วยกำลังของนางแล้ว คาดว่าจะสามารถทำความเข้าใจกับค่ายกลทั้งหมดบนเส้นทางแห่งดวงดาวนี้ได้จริงๆ ใช่หรือไม่”
“ได้ยินมาว่าเสินสื่อสำดับที่เจ็ดมองนางในทางที่ดีมาโดยตลอด คาดว่าสามารถทำสำเร็จได้จริงๆ…”
ในขณะที่ค่ายกลค่อยๆ หายไป ฉู่หลิวเยว่ก็ถอยสายตากลับ และศึกษาค่ายกลเหล่านี้ที่อยู่ใต้เท้าของนางต่อไป
…
เมื่อเทียบกับ ‘ความคึกคัก’ ทางด้านของหลิวเยว่แล้วนั้น ทางด้านของมู่หยาเฟิงที่อยู่ข้างหน้า กลับเงียบเหงาอย่างมาก
ทั้งสองด้านของเส้นทางแห่งดวงดาวว่างเปล่าและแทบจะไม่มีใครเลย
ไม่ใช่เพราะทุกคนไม่อยากมา แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่กล้า
ถนนสายนี้เต็มไปด้วยค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ และแม้ว่าพวกมันจะถูกปิดกั้นด้วยหยกดำบางๆ ชั้นหนึ่ง แต่ก็ยังมีแรงกดดันเล็กน้อยแฝงอยู่
ความแข็งแกร่งแบบปกติทั่วไป อาจะรู้สึกลำบากอยู่บ้างเมื่อเดินบนเส้นทางในที่แห่งนี้ ยิ่งเรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง
อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นทุกคนจึงเคารพและชื่นชมจนไม่กล้าทำผิดพลาดแต่อย่างใด
แม้ว่าอยากจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวไม่กี่ประโยค ก็จะไม่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นอันขาด
หญิงสาวที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปี กำลังยืนอยู่กลางถนน
นางสวมชุดคลุมยาวสีเขียวอ่อน ใบหน้างดงาม ระหว่างคิ้วมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
ในเวลานี้ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูค่ายกลนั่นเบ่งบานอยู่เหนือศรีษะของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
ร่างหนึ่งเดินมาจากด้านหน้า
นางดึงสายตากลับและเห็นเข้ากับคนที่มา จึงคำนับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“คาราวะเสินสื่อสำดับที่เจ็ด”
จิ้นอวิ๋นไหลยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลจากนางนัก บนใบหน้าที่เข้มงวดและเย็นชา จึงยากที่จะเห็นความอ่อนโยนบางส่วน
“ค่ายกลเทียนหลัวเป็นหนึ่งในค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ที่ฝึกฝนยากที่สุด เจ้าบรรลุได้รวดเร็วเช่นนี้ ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว”
มู่หยาเฟิงก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วตอบกลับอย่างสุภาพ
“คำชมเชยที่เข้าใจผิดของเสินสื่อสำดับที่เจ็ดนั้น แท้จริงแล้วหยาเฟิงถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แต่ในที่สุดก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้นางสามารถเข้าร่วมฝึกฝนได้”
ค่ายกลเทียนหลัวและค่ายกลมายาสุริยะเทพ ล้วนเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘สวรรค์’ เมื่อเข้าใจว่ามันยากขนาดไหน แน่นอนว่านางสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
สำหรับคนนอก ดูเหมือนว่านางสามารถทะลวงค่ายกลทั้งสองแบบนี้ได้ภายในไม่กี่วัน แต่แท้จริงแล้วนั้นหลายปีที่ผ่านมานางได้ลองมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ดังนั้นการเผชิญหน้ากับคำชมของจิ้นอวิ๋นไหล กลับทำให้นางไม่สบายใจนัก
บนใบหน้าของจิ้นอวิ๋นไหลแสดงออกด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่บางส่วน
ความสามารถของมู่หยาเฟิงนั้นไม่ธรรมดา นิสัยที่ไม่หยิ่งผยองอวดดี ยิ่งหาได้ยากนัก
ในตำหนักมนตราศักดิ์สิทธิ์สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดคืออัจฉริยะ
แต่คนที่จะก้าวตามรอยเท้าไปที่ละก้าวจนถึงที่สุดได้นั้น กลับมีไม่มาก
สิ่งนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีมุมมองที่ดีต่อมู่หยาเฟิงเป็นพิเศษ
“ค่ายกลที่นี่ เจ้าบรรลุไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ส่วนที่เหลือทั้งหมดเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘สวรรค์’ และไม่อาจประมาทได้”
“หยาเฟิง ทราบเจ้าค่ะ”
จิ้นอวิ๋นไหลกำลังจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้นจากระยะไกล
เขาขยับคิ้วเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อมู่หยาเฟิงได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ จึงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
จิ้นอวิ๋นไหล่บ่นพึมพำขึ้น
“ดูเหมือนได้เข้าสู่อาณาเขตพื้นที่ของค่ายกลปรมาจารย์ระดับมหาราชาแล้ว”
เร็วกว่าที่เขาคาดไว้จริงๆ ระดับความเร็วนี้เกินกว่าความเร็วในตอนแรกของมู่หยาเฟิง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เขาก็มองไปที่มู่หยาเฟิงครู่หนึ่ง
มู่หยาเฟิงรู้สึกมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จึงหัวเราะขึ้น
“เสินสื่อสำดับที่เจ็ดไม่ได้สนใจแต่เพียงค่ายกลของอาณาเขตพื้นในค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์หรอกหรือ? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สนใจการเข้าอาณาเขตพื้นที่ขอค่ายกลปรมาจารย์ระดับมหาราชา?”
คำถามที่ใสซื่อเช่นนี้ของนาง เป็นเพราะนางไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมื่อฉู่หลิวเยว่และผู้ติดตามเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ที่นางกำลังฝึกฝนอยู่
หลังจากออกมา นางก็ตรงไปที่เส้นทางแห่งดวงดาวและทำความเข้าใจค่ายกลต่อไป
ความเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ในการบรรลุค่ายกลนั้นล็กมาก ทง่าทางด้านนี้ของนางอยู่ห่างจากอีกด้านหนึ่งมาก และนางก็มุ่งความสนใจไปที่ค่ายกลที่อยู่ตรงหน้า แน่นอนว่านางจึงไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด
จิ้นอวิ๋นไหลจึงอธิบายขึ้นอย่างง่ายๆ ว่า
“เป็นคนที่มาใหม่ เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งดวงดาวมื่อสี่วันก่อน”
เพียงคำพูดไม่กี่คำสีหน้าของมู่หยาเฟิงก็เปลี่ยนไปในทันที
“สี่วัน?”
นางถามกลับอย่างไม่เชื่อเล็กน้อย
จิ้นอวิ๋นไหล่พยักหน้า
ในที่สุดมู่หยาเฟิงก็เข้าใจว่าทำไมจิ้นอวิ๋นไหลถึงมองตนเองด้วยสายตาเช่นนั้นเมื่อครู่นี้
การแสดงออกของผู้มาใหม่คนนี้ได้นำหน้านางก่อนหน้าไปแล้ว!
“ดูเหมือนว่าจะมีอัจฉริยะที่หายากอีกคนหนึ่งมาถึงแล้ว”
นางชะงักไปชั่วครู่และพูดขึ้น
“แต่นางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
จิ้นอวิ๋นไหลส่ายหน้าด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
แม้เขาจะมองด้วยสายตาที่เข้มงวดและจู้จี้จุกจิก แต่หญิงสาวคนนั้นก็นับว่าโดดเด่นมากจริงๆ
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์
สิ่งนี้จะตัดความเป็นไปได้ทั้งหมด
มู่หยาเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที แต่บนใบหน้ากลับเห็นไม่ชัดพลางพูดขึ้น
“เช่นนั้น…ก็น่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่ต้องสนใจนาง เจ้าแค่ทำความเข้าใจค่ายกลต่อไปก็พอ”
มู่หยาเฟิงถอนสายตากลับและยิ้มเบาๆ
“เจ้าค่ะ”
เหลือบมองทางนั้นอีกครั้ง จากนั้นจึงหันหลังและจากไปอย่างรวดเร็ว
…
หลังจากฉู่หลิวเยว่บรรลุค่ายกลปรมาจารย์ระดับราชา ก็มาถึงอาณาเขตพื้นที่ของค่ายกลปรมาจารย์ระดับมาหาราชา
จุดแสงที่นี่สว่างกว่าจุดก่อนอย่างเห็นได้ชัด และความกดดันก็หนักกว่าเช่นกัน
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่มาถึงที่นี่ ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์จึงเงียบเสียงลงและจ้องนางจนตาแทบไม่กะพริบตา
ค่ายกลเหล่านั้นก่อนหน้านี้ โดยทั่วไปแล้วแทบจะไม่มีความยากอะไรเลยด้วยซ้ำ
แต่จากนี้ต่อไปจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
แม้ว่าเดิมที่นางจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างมากที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทุกครั้งที่มีการสร้างค่ายกล พลังและจิตวิญญาณที่ใช้ทั้งหมดล้วนมากกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่บินออกไปด้วยพลังปราณเดิม จู่ๆ ค่ายกลก็ปรากฏขึ้นมาตรงใต้เท้าของนาง!
นางก้มมองอยู่ครู่งหนึ่ง จากนั้นก็แข็งค้างไปชั่วขณะ
ค่ายกลนี้…