ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2202 ลบล้าง
ตอนที่ 2202 ลบล้าง
………………..
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่จ้องมองค่ายกลนั่นอยู่พักหนึ่งโดยไม่ขยับตัว กลุ่มคนที่เฝ้าดูอยู่ค่อยๆ กระสับกระส่ายขึ้น
“นางกำลังดูอันใดอยู่?”
“ไม่รู้สิ นางอาจจะเห็นค่ายกลปรมาจารย์ระดับมหาราชาอย่างกระทันหันและยังไม่ฟื้นตัวมาสักพักหนึ่งแล้วกระมัง”
“ค่ายกลระดับนี้ ไม่อาจบรรลุได้ง่ายขนาดนั้นใช่หรือไม่”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
นางยกทั้งสองมือขึ้นเบาๆ และมีแสงสว่างมากมายพุ่งออกมา
ดูจากจำนวนแล้ว นับว่ามากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งนี้ยังยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของทุกคน…จริงๆ แล้วนางคือปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา!
แสงสว่างสีเงินผสานกันในขณะนั้น ในไม่ช้าก็กลายเป็นโครงร่างค่ายกลโค้งมนตรงหน้านาง
หลังจากลวดลายอักขระที่ซับซ้อนก็ค่อยๆ ถูกร่างขึ้น
ในเวลาเพียงชั่วครู่ค่ายกลนั่นถูกร่ายขึ้นมาอย่างสมบูรณ์!
ฉู่หลิวเยว่ร่ายฝ่ามืออย่างพริ้วไหว ค่ายกลนั้นจึงตกลงมาอย่างเงียบๆ และทับซ้อนกับค่ายกลที่ถูกผนึกไว้ใต้หยกสีดำนั่นพอดี!
ปัง!
ประกายไฟสีเงินที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมอย่างมากพุ่งขึ้นมาและค่อยๆ ผลิบานเหนือหัวของนาง!
ทุกคนเงียบเสียงลง เดิมที่เสียงที่ดังอึกทึกพลันหายไปทันที
สายตาที่พวกเขามองฉู่หลิวเยว่ ได้เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ
“ไม่จริงใช่หรือไม่? เหตุใดนางถึงว่องไวขนาดนี้? นั่นคือค่ายกลเลือนใจ! แม้มันจะเป็นค่ายกลที่ค่อนข้างง่ายกับปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา แต่…ยังสูงกว่าระดับก่อนหน้านี้หนึ่งระดับ! นางเห็นได้อย่างชัดเจนหรือไม่ว่ามันถูกเปิดเผยออกมาในชั่วพริบตาเดียว”
“ข้าได้ทะลวงขึ้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชามาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้เร็วเท่านาง!”
ในขณะนี้ที่เสียงดีอกดีใจดังขึ้นมา
“โอ้ว เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน หญิงสาวผู้นี้ก็มาถึงที่นี่แล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองและโค้งริมฝีปากด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสเซียวหราน ท่านก็มาด้วยหรือ”
เซียวหรานหัวเราะเสียงดังพลางเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่กลับมีความแปลกๆ และชื่นชมอยู่บางส่วน
“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่คนเดียวจนเบื่อเกินไปแล้วหรอกหรือ ขณะที่พูดออกมาก็เดินเตร่ไปมาและ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาที่นี่ และตามมาทันเห็นเจ้าร่ายค่ายกลเลือนใจพอดี ระดับของเจ้านี้…ช่างเร็วพอตัวจริงๆ!”
ระดับค่ายกลเหล่านั้นที่อยู่ด้านหน้าไม่ได้สูงนัก การแสดงมันออกมาจึงไม่ได้อยู่ในระดับที่ยากอะไร ซึ่งก็เท่านั้นเอง
แต่ค่ายกลเลื่อนใจนี้แท้จริงแล้วเป็นค่ายกลปรมาจารย์ระดับมหาราชา คิดไม่ถึงว่านางจะทำได้อย่างคล่องแคล่วราบรื่นเช่นนี้จนบรรลุมันได้โดยตรงแล้วอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากและพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญ ค่ายกลเลือนใจนี้ ข้าเคยเห็นมาก่อน”
“อ้อ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
เซียวหรานพยักหน้าทันทีและทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ยินคำพูดนี้ ทันใดนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ที่แท้เคยเห็นมันมานานแล้ว!
เช่นนั้นแล้วจึงอธิบายได้ไม่ยากว่าเหตุใดนางถึงได้ว่องไวเช่นนี้
ยังคงเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ มองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจได้โดยตรง เช่นนั่นจะไม่ให้คนอื่นมีชีวิตอยู่เลยจริงๆ!
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำต่อเถอะ! ทำต่อเถอะ!”
เซียวหรานหัวเราะชอบใจ
แม้ว่าในตอนแรกเขาจะประหลาดใจที่ได้ยินว่าฉู่หลิวเยว่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
สุดท้ายแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชาจะอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
มู่หยาเฟิงก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าและเดินหน้าต่อไป
…
ทางด้านเส้นทางแห่งดวงดาวคึกคักอย่างมาก แต่อีกฝั่งกลับเป็นฉู่หลิวเยว่และหลายคนทั้งหมดอยู่ที่ลานบ้านอันเงียบสงบ
หลังจากที่น้องแปดลุกขึ้นจากเตียงก็ตรงไปที่ห้องของฉู่หลิวเยว่ แต่ใครจะรู้ว่าในห้องว่างเปล่าไม่มีคนอยู่
เมื่อมองดูห้องที่ว่างเปล่า นางจึงบิดขี้เกียจและหันหลังเดินกลับไป จึงบังเอิญเห็นเฉินอีเพิ่งออกมาจากห้องข้างๆ พอดี
น้องแปดเอ่ยถามขึ้น
“พี่ใหญ่ นายท่านยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เฉินอีพยักหน้า
“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว…”
น้องแปดบ่นพึมพำจากนั้นดวงตาของนางก็พลันสว่างขึ้นในทันทีและพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“เอ๊ะ? หากพูดเช่นนี้นายท่านก็ยังอยู่บนเส้นทางแห่งดวงดาวไม่ใช่หรือ? พี่ใหญ่ เหตุใดพวกเราไม่ไปดูด้วยกันล่ะ?”
สีหน้าเฉินอีเรียบเฉย
“ไม่ไป”
“เอ๊ะ? เหตุใดไม่ไปล่ะ?”
เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันทีและมองไปยังเส้นทางแห่งดวงดาวอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าเห็นคนทางด้านนั้นมากมาย พวกเขาคงตกตะลึงกับนายท่านอย่างแน่นอน! พวกเราไปร่วมสนุกกันเถอะ”
เฉินอีเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“ค่ายกลปรมาจารย์ระดับมหาราชา มีอันใดน่าสนใจกัน”
น้องแปดเบ้ปาก
เฉินอีพูดเตือนขึ้น
“ในเวลานี้ไม่สู้คิดถึงเรื่องครั้งก่อนที่ให้เจ้าช่วยหลอมสิ่งของ เจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือไม่”
น้องแปดบิดเอวและพูดอย่างโอ้อวดขึ้น
“แน่นอนว่าข้าหลอมเสร็จแล้ว!”
นี่ท่านกำลังดูถูกใครอยู่หรือ
“เช่นนั้นก็ดี”
เฉินอีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เพิ่มการฝึกเป็นอีกเท่า”
น้องแปด “…”
“พี่ใหญ่ น้องแปดเก็บตัวอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว เหตุใดถึงไม่ยอมให้นางออกไปเที่ยวเล่นหน่อยเล่า”
หัวซวงซวงที่ได้ยินบทสนทนาของสองคนชะโงกหน้าออกมาพลางพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าพานางไปเดินเล่นที่ยอดเขาโอสถดีหรือไม่”
เมื่อน้องแปดได้ยินสิ่งนี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ยอดเขาโอสถ? ได้สิ! สุดท้ายก็เป็นพี่รองที่ดีกับข้าที่สุด!”
เฉินอีเหลือบมองหัวชวงซวงและชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าในที่สุด
“กลับมาเป็นสองเท่า”
มุมปากของน้องแปดกระตุกขึ้น
นางรู้ว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ ขนาดนั้น!
“สองเท่าก็สองเท่า! พี่รอง เราไปกันเถอะ! คาดว่าเมื่อพวกเรากลับมาแล้วจะสามารถไปให้กำลังใจนายท่านที่เส้นทางแห่งดวงดาวได้!”
ทั้งสองคนจากไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาโอสถ
ทว่าเขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ไปที่ห้องข้างๆ แทน
หลังจากเข้าไปในห้องก็เงียบสงบ
เมื่อเดินผ่านฉากกั้นเข้ามา เชียงหว่านโจวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และก้มหัวลงเล็กน้อย
ผมสีทองเส้นบางละเอียดตกลงมาบดบังคิ้วของเขา
ริมฝีปากแดงที่เคยเหมือนดอกกุหลาบ บัดนี้กลับซีดเซียวลงเล็กน้อย
มือข้างหนึ่งของเขาจับที่พักแขนเก้าอี้ไว้แน่น และร่างกายของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกำลังประสบกับความเจ็บปวดอะไรบางอย่าง
หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบนฝ่ามือของเขามีชั้นเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมอยู่
เฉินอีเดินมาตรงหน้าและพลิกข้อมือของเขา เพื่อแยกพลังปราณเดิมออก และถ่ายเทพลังลงไปในชีพจรเดิมของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ความหนาวเย็นบนร่างกายของเชียงหว่านโจวก็หายไปอย่างเงียบๆ
เขาพ่นลมหายใจออกมา
“…ขอบคุณยิ่งนัก”
เฉินอีส่ายหน้าและมองถวนซิ่นจื่อที่อยู่บนเอวของเขา
คำว่า ‘มายา’ ที่อยู่ข้างในนั้นหนาแน่นและเจิดจ้า เหมือนมีบางสิ่งที่แทบจะทะลุออกมา!
เขายื่นมือออกและส่งถวนซิ่นจื่อนั่นเคลื่อนผ่านขึ้นไป
ชั่วครู่พลังที่อธิบายไม่ได้ส่วนใหญ่ก็หายไปและตัวอักษรนั้นก็สลายไปในที่สุด
“เช่นนี้ก็พอแล้ว”
………………..