ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2207 นามนั้น ที่อยู่ในบันทึกหมื่นเซียน
ตอนที่ 2207 นามนั้น ที่อยู่ในบันทึกหมื่นเซียน
………………..
ราวกับมองออกว่านางกำลังคิดอะไร เหลียงเหอจึงกล่าวต่อทันที
“แม่นางแปดอย่ากริ้วนักเลย เสินสื่อลำดับแปดไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เจ้าคนเดียวเสียหน่อย แต่ยัง…”
“แต่ยังรวมถึงผู้ที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์อีก ใช่หรือไม่?”
น้องแปดตอบเสียงดังฟังชัด
เหลียงเหอพลันกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“อันที่จริง จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้ เดิมทีการดูแลเทือกเขาโอสถก็เป็นหน้าที่ของเสินสื่อลำดับแปดอยู่แล้ว…เช่นนี้แล้วกัน หลังจากนี้หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็ให้มาบอกข้า แล้วข้าจะไปนำมาให้เจ้า ดีหรือไม่?”
ความจริงแล้ว ส่วนตัวเขาไม่ได้มีอะไรผิดใจกับคนจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ อย่างเสินสื่อลำดับแปด
ยิ่งไปกว่านั้น น้องแปดเองก็เพิ่งจะได้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง แน่นอนว่าย่อมมิใช้ผู้ที่เสินสื่อลำดับแปดหมายตาด้วยซ้ำ
น้องแปดโบกมือพัลวัน
“เช่นนั้นก็ต้อง ข้ายังมิได้จนตรอกถึงเพียงนั้น”
เหลียงเหอสังเกตเห็นว่านางยังโกรธเคือง ก็ไม่กล้าเดินหน้าไปมากกว่านี้ กลัวจะเป็นการสุ่มไฟในอกให้นางอีก
“แล้ว…ผลวิญญาณสวรรค์เล่า?”
“เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ!”
น้องแปดเยาะเย้ยในใจและเอนหลังลงอีกครั้ง ชัดเจนว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอีกคนแล้ว
เหลียงเหองุนงง ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่านางหมดความอดทนแล้ว เขาจึงกล่าวเพียงว่า
“ข้า… ข้าเองก็ไม่ได้ใช้ของพวกนี้ เก็บไว้กับแม่นางแปดที่นี่เถิด เจ้าพักผ่อนเสีย วันหลังข้าจะมาใหม่”
หลังจากพูดจบ เขาก็นำผลวิญญาณสวรรค์ร้อยกว่าลูกไปวางไว้ที่ประตูทั้งหมด ก่อนจะถอยหลังกลับไปทีละก้าว และจากไปอย่างไม่เต็มใจ
หัวซวงซวงเดินออกจากห้องโถง พลางเหลือบตามองเหลียงเหอที่เดินออกไปแล้ว และถามว่า
“ถ้าอยากได้จริงๆ ก็ควรไปหาด้วยตัวเองมิใช่หรือ? ไยต้องเอาของที่คนอื่นมอบให้มาใช้ด้วย? อีกอย่าง คนที่ชอบมาเอาอกเอาใจข้านั้น ก็มีมากมายนัก หากรับของพวกนั้นไว้ทั้งหมด ข้ามิเหนื่อยตายก่อนรึ?“
หัวซวงซวงหัวเราะเบาๆ และพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นก็จริง!”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวลาที่น้องแปดต้องการอะไร ก็จะมองหานายท่าน หรือไม่ก็ขอจากสิบสามผู้พิทักษ์เยว่
แต่ในเมื่อมีคอยเอาใจนางเสียเยอะเยอะ จึงเกิดเรื่องน่าปวดหัวเช่นนี้ขึ้น แต่ก็ไม่ได้น่ากังวลอะไร
“น้องแปด ข้าว่าเจ้าต้องฝึกจริงๆ จังๆ เสียหน่อย อักขระบนเชือกถักของเจ้าจางไปเกือบครึ่งแล้ว”
หัวซวงซวงกล่าวเตือน
น้องแปดได้แต่ลากเสียงยาวตอบกลับไปเนื่อยๆ
“รู้แล้วน่ะ”
…
ชูจิ้งกลับไปที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ จิ้นอวิ๋นไหล่ยืนรอต้อนรับอยู่เบื้องหน้า
จิ้นอวิ๋นไหล่หยักหน้าทักทายอีกฝ่าย และเตรียมเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
ชูจิ้งหยุดเขา
จิ้นอวิ๋นไหล่หันกลับมา
“มีอันใดหรือ?”
ชูจิ้งก้มหน้าลงและถามว่า
“เจ้าเป็นคนพาผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง ที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น เข้ามาที่นี่หรือ?“
จิ้นอวิ๋นไหล่ตอบเสียงเรียบ
“ใช่ เหตุใดหรือ?”
“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเหตุใด? คนแบบนั้นจะเข้ามาที่นี้ได้อย่างไร? หลายปีมานี้ ไม่เคยมีคนแบบนั้นเข้ามาเยียบตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของเราได้เลยสักคน นั่นก็เพราะ…”
“พวกเขาข้ามทะเล ปีนขึ้นไปบนสะพาน และไปถึงประตูสวรรค์ได้ พวกเขาย่อมมีคุณสมบัติเข้ามาที่นี่”
จิ้นอวิ๋นไหล่ขัดจังหวะนาง และหันไปจ้องนางเขม็ง
“เหตุใด มีใครในนั้นทำให้เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ?”
ชูจิ้งระงับโทสะในใจไว้ แล้วตอบว่า
“ไม่มี ข้าแค่รู้สึกแปลกๆ ที่เห็นคนพวกนี้ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
“เจ้ากำลังสงสัยในตัวข้าหรือ?”
หัวใจของชูจิ้งเต้นรัว พลันรีบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ก็ดี”
จิ้นอวิ๋นไหล่สูงกว่าชูจิ้งมาก เมื่อยืนประจันหน้าตรงๆ เช่นนี้ นางรู้สึกถึงแรงข่มอันหนักหน่วงจากอีกฝ่ายได้อย่างขัดเจน
“ถ้าใครทำให้เจ้าขุ่นเคือง ก็ลงโทษตามกฎเสีย ส่วนคำที่เจ้าถามเมื่อครู่นี้ ข้าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน แต่อย่าให้มีครั้งต่อไป”
น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยการเตือน
ชูจิ้งกัดปากแน่นอย่างข่มอารมณ์
“รับทราบ”
…
บนเส้นทางดวงดาว มู่หยาเฟิงยืนอยู่ที่เดิม และไม่ได้ขยับตัวเลยเป็นเวลาสามวันเต็ม
นางจ้องมองไปที่ค่ายกลเบื้องล่างปลายเท้า คิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปม ในหัวนึกวาดรูปแบบค่ายกลที่พอจะเป็นไปได้อยู่หลายแบบ แต่กลับไม่มีรูปแบบใดที่เข้ากันกับค่ายกลเบื้องหน้าได้เลย
ค่ายกลนี้ช่างแก้ได้ยากเย็นนัก
เส้นทางสายนี้ นางเดินมาไกลเกินไปแล้ว
ตอนแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
แต่แล้วรูปแบบของค่ายกลกลับค่อยๆ ยากต่อการถอดแบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละก้าวที่เดินไปข้างหน้า ต้องแลกกับการสูญเสียพลังปราณและราคาชีวิตที่ต้องจ่าย
นางจำไม่ได้ว่าสูญเสียไปเท่าใดแล้ว
และที่ครั้งที่ก้าวไป เวลาที่เหลือก็ยิ่งน้อยลงทุกที
ยิ่งนางเข้าใกล้ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไร รูปแบบของค่ายกลนี้ก็ยิ่งผสานกันมากขึ้นและยากขึ้นกว่าเดิม สามวันที่นางยืนประมวลมันมานี้ ไม่ได้ทำให้นางเข้าใจมันมากขึ้นเลย
ต่อให้ตอนนี้นางไม่ยอมถอย และอยู่ที่นี่ศึกษามันต่ออีกพักหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำให้นางก้าวข้ามผ่านไปได้
แม้นสองข้างทางของเส้นทางดวงดาว จะไม่มีผู้ใดเฝ้ามอง แต่นางก็รู้ว่ามีหลายคนจับตาดูนางอยู่
ทุกการกระทำของนางในตอนนี้ จะแพร่พรายไปทั่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในไม่ช้า
ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ก็จะถูกเอาไปนินทาว่ากล่าวอยู่ดี
“หากตอนนี้ยังบรรลุไม่ได้ ก็กลับไปศึกษาให้ละเอียดเสีย ไม่เป็นไรหรอก”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
มู่หยาเฟิงเงยหน้าทันควัน เมื่อเห็นร่างนั้น ร่างทั้งร่างหลันคุกเข่าลงในบัดดล
“คารวะเสินสื่อลำดับเจ็ดเจ้าค่ะ ข้าเพียงต้องการ… ลองดูอีกสักครา”
จิ้นอวิ๋นไหล่ส่ายศีรษะ
“ค่ายกลนี้ซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิดนัก ตอนนี้ข้าใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะมองออก และกว่าจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ก็ปาเข้าไปร่วมปี เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
มู่หนาเฟิงหน้าถอดสีเล็กน้อย เมื่อได้ยินเช่นนี้
ก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด
“ทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว”
สุดท้ายมู่หยาเฟิงจึงผ่อนคลายลง
คำพูดของจิ้นอวิ๋นไหล่ ทำให้เห็นว่าในอนาคตนางยังเป็นคนที่เขาหมายมั่นปั้นมือที่สุดอยู่
“ขอบพระคุณเสินสื่อที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”
นางเตรียมสาวเท้าออกไป แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหันกลับไปมอง
“จริงสิ มิทราบว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ? สองวันมานี้ ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวเลย”
สีหน้าของจิ้นอวิ๋นไหล่พลันเย็นชาขึ้นมา
“สองวันก่อนนางยอมแพ้ และออกไปจากเส้นทางดวงดาวแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะติดอยู่ในค่ายกลที่ไหนสักแห่ง”
มู่หยาเฟิงหลุบตาลง
”เช่นนั้นก็น่าเสียดาย…ข้ายังแอบคิดว่านางจะไปถึงค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ ภายในอึดใจได้เสียอีก”
จิ้นอวิ๋นไหล่ส่ายหน้าไปมา
“เจ้าประเมินนางสูงไปแล้ว อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอย่าได้กังวลเลย แค่ใส่ใจเรื่องตรงหน้าก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
…
ภายในพระราชวังอันโออ่าตระการตา ร่างอันสูงใหญ่ของหรงซิวกำลังยืนเอามือไหล่หลัง
แตกต่างจากเมื่อก่อน ยามนี้เขาสวมชุดคลุมตัวยามสีดำ ใบหน้างดงามหล่อเหลาเย็นชา ดูเคร่งครึมและดุดันมากกว่าเดิมหลายเท่า
พรึ่บ!
เขาหงายฝ่ามือขึ้น ม้วนไผ่สานตรงหน้าพลันกางออก!
นามปกรณ์มากมาย ปรากฏขึ้น เรียงรายเป็นระเบียบ
มันคือ บันทึกหมื่นเซียน!
มีบางจุดที่ถูกไฟไหม้ จนบางชื่อเลือนหายไป
ชั้นแสงสีทองบางเบาห่อหุ้มบันทึกไว้
เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ชื่อนี้ ก้าวกระโดดไปไกลมาก!
………………..