ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2208 ร้านเจินเป่าเก๋อ
ตอนที่ 2208 ร้านเจินเป่าเก๋อ
………………..
นามนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มแสงสีทอง จนยากต่อการจำแนก
ทว่าด้านบนกลับเต็มไปด้วยพลังปราณบางอย่างที่ทรงพลัง จนทำให้มันดูเป็นชื่อที่โด่ดเด่นและแตกต่างกว่าชื่ออื่นในบันทึกหมื่นเซียน
แม้นจะเป็นข้อแตกต่างที่ดูไร้มูลสาร แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ตรงหน้า
หรงซิวยกมือขึ้น ปลายนิ้วเรียวยาวไล่ผ่านตัวอักษรดังกล่าว
พลังของมวลแสงสีทองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลืนกินแลปกปิดลมปราณทั้งหมดในนั้น
แต่แล้วลมปราณที่กำลังจะทะลักออกมา กลับค่อยๆ ลดลง แล้วหายวับไปในทันตา
เสียงฝีเท้าดังสะท้อนภายใสห้องโถงอันว่างเปล่า
“นายท่านขอรับ”
อวี๋มั่วก้าวไปข้างหน้า สองตามองเห็นหรงซิวอันเชิญบันทึกหมื่นเซียนออกมา ก็พลันตกใจลนลาน คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นทันที
หรงซิววาดฝ่ามือออกไป บันทึกหมื่นเซียนส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงแล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหรงซิวถึงค่อยหันกลับไปมองอวี๋มั่ว
อวี๋มั่วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ
“นายท่าน พระชายาได้ออกจากเส้นทางดวงดาวแล้ว และไปถึงค่ายกลวิญญาณยักษ์แล้วขอรับ”
หรงซิวพยักหน้ารับเบาๆ รางไม่แปลกใจ
อวี๋มั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า
“นายท่าน แล้วฝั่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์…“
“คอยดูสถานการณ์ไปก่อน”
“ขอรับ”
อวี๋มั่วตอบรับอย่างหนักแน่น
อวี๋มั่วตอบกลับทันที
“ขอรับ”
“บอกเขาให้อดทนรอก่อน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโผล่หน้ามา”
อวี๋มั่วแทบหลั่งน้ำตา ในใจแอบกระซิกเย้ยหยันเหยียนเก๋อเบาๆ
นับตั้งแต่ถูกเนรเทศ เขาก็เฝ้าหวนกลับสู่ถิ่นเดิมแถบทุกวัน และเมื่อวันนี้มาถึง ยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำกลับความสุข ก็จำต้องถูกดับฝัน แล้วกักบริเวณอีกครา
เห้อ ช่างน่าเวทนานัก
อวี๋มั่วพยายามอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดยิ้มออกมา
“ขอรับ ข้าน้อยจักไปแจ้งเดี๋ยวนี้“
ครั้นพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คารวะผู้เป็นนายแล้วจากไป
ไม่นานนัก ทั่วห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงหรงซิวคนเดียว
“ค่ายกลวิญญาณยักษ์…”
หรงซิวย่นคิ้วเข้าหากัน อายเย็นเฉียบปรากฏหว่างคิ้วเรียวคม
“คงไม่ต้องรีบแล้วกระมัง”
…
ฉู่หลิวเยว่พักรักษาตัวอยู่ที่เรือนร่วมสามวัน หลังจากปรับสภาพจิตใจและร่างกายให้สมบูรณ์แล้ว จึงออกเดินทาง
ทันทีที่มาถึงประตู นางก็เห็นสมบัติมากมายวางกองอยู่ข้างนอก
“นี่คือ…”
นางปลายตามองปราดเดียว และพบว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุล้ำค่าทั้งนั้น
นางหันกลับไปมองน้องแปดที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้
“น้องแปด สิ่งเหล่านี้มาได้อย่างไรกัน?”
“มีคน? ส่งมาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
นับตั้งแต่พวกเขามาถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ก็ถูกปล่อยปะละเลยมาโดยตลอด มีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจเฝ้ามองความเป็นไปของพวกเขา แล้วยังจะมีคนส่งของมาให้กันอีกหรือ?
แถมยังใจกว้างเพียงนี้
ต่อให้เป็นนาง ก็ยังมองว่าสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นของล้ำค่าเกินพรรณนาเลยทีเดียว
“ใช่แล้ว เหมือนจะ…ชื่ออันใดนะ? เห้อ ข้าลืมไปแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
“นายท่าน เหลียงเหอเป็นคนส่งของพวกนั้นมา”
หัวซวงซวงเดินออกมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่ง พลางรายงานให้ทราบ
“เหลียงเหอ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย
แม้ว่านางเองก็อยู่ที่นั่นในวันที่เหลียงเหอมาเยือน แต่ยามนั้นนางมัวเป็นหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสค่ายกลของพี่เป่า นางจึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย
“ใช่แล้ว หลายวันก่อนข้ากับน้องแปดได้ไปที่เทือกเขาโอสถ ตลอดสองสามวันเหลียงเหอผู้นั้นแวะเวียนมาไม่หยุดหย่อน และทุกครั้งที่มาก็จะนำโอสถมาด้วย”
น้องแปดทำหน้าไม่พอใจ
“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ต้องการ แต่เขาก็ยังส่งมา แล้วจะให้ข้าทำอย่างใด?”
ไม่มีใครบอกปัดได้ชัดเจนกว่านี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่เหลียงเกอนั้นดื้อรั้นเกินคาด ถูดน้ำเย็นสาดทุกวัน ยังรั้นทำต่อไปราวไม่สนใจสิ่งใดสิ้น
และถึงเขาจะมาส่งของ แต่ทุกครั้งที่มา ก็เพียงเอ่ยทักทายกันไม่กี่ประโยคแล้วก็ไป
ในแง่ของความเป็นส่วนตัวแล้ว ถือว่าเขายังเคารพกันอยู่บ้าง
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับน้องแปดนั้นถือว่าธรรมดานัก และก็ไม่คิดจะใส่ใจอยู่แล้ว
แต่นางสงสัยใคร่รู้เรื่องอื่นมากกว่า
“ของบนเทือกเขาโอสถ มิใช่หยิบจับได้ตามอัธยาศัยหรอกหรือ? ไยเหลียงเหอถึงต้องส่งมาให้เจ้าทุกวัน?”
เมื่อน้องแปดได้ยินเช่นนี้ ก็พลันชะงักตัวแข็งทื่อ แล้วลืมตาขึ้นในที่สุด
หัวซวงซวงชะงักไปครู่หนึ่ง และเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้นางฟังคร่าวๆ
ถึงพวกเขาจะไม่อยากสร้างปัญหาให้ผู้เป็นนาย แต่จะให้บิดบังคงไม่ได้
เมื่อฟังจบ ขนงเรียวงามของฉู่หลิวเยว่ก็ขมวดพันกันทีละนิด
“มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ?”
หากไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ก็จะพบเจอกับข้อจำกัดมากมายตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่
“นายท่าน ที่เสินสื่อลำดับเจ็ดกล่าววันนั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่องทั้งหมด หากอิงตามวิธีของเสินสื่อลำดับแปดล่ะก็ ต่อให้มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ และต้องการใช้สมุนไพรบนเทือกเขาโอสถ ก็ยังมีเงื่อนไขบางอย่างอยู่ เดิมทีต้องเป็นเซียนหมอ และมีอำนาจมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งระดับเซียนหมอสูงมากเท่าใด ก็จะยิ่งใช้สมุนไพรได้มากเท่านั้น”
หัวซวงซวงลูบปลายคางของตนไปมา
“ได้ยินว่าตอนนี้ เหลียงเหอผู้นั้น คือเซียนหมอระดับปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
เซียนหมอระดับปรมาจารย์ นั่นมันเหนือกว่ามหาปรมาจารย์โอสถอีกหนา
ฉู่หลิวเยว่ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปมองน้องแปดแล้วยิ้มล้อเลียน
“น้องแปด ดูท่าแล้วคนที่ตามจีบเจ้าครานี้ จะเป็นหนุ่มน้อยร้อยความสามารถเชียวนา”
น้องแปดเบะปาก
“งั้นๆ แหละ ไม่เอาด้วยหรอก”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่านางชอบทำหน้าทำตาเช่นนี้ มิได้จริงจรังกับถ้อยคำหยอกล้อเช่นนี้สักเท่าไร
แต่ว่า..
“แม่นางน้อย หากพวกเจ้าอยากได้สมุนไพร ไม่ต้องไปที่เทือกเขาโอสถก็ได้”
ทันใดนั้น เสียงของเซียวหนานก็ดังแทรกเข้ามาจากนอกประตู
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับ แล้วเดินไปเปิดประตู
“ผู้อาวุโสเซียวหราน ไยท่านถึงมาที่นี่ได้?”
เซียวหรานยักไหล่เบาๆ
“สองวันที่ผ่านมา ข้าเบื่อกับการอุดอู้อยู่ในเรือนเต็มทนแล้ว เลยคิดออกมาเที่ยวเล่น อีกอย่างเมื่อครู่ข้าผ่านมาได้ยินพวกเจ้าคุยกันเรื่องเทือกเขาโอสถพอดี เลยแวะเข้ามาทักทายเสียหน่อย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบรับ และถามว่า
”แล้วที่ท่านพูดเมื่อครู่ หมายความเช่นใด?“
เซียวหลานขบไม่จิ้มฟันในปาก พลันยิ้มเยาะอย่างถือดี
“พวกเจ้ามาที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้สักพักแล้ว เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกหรือ? มากันตั้งหลายคน มั่วแต่มุดหัวอยู่ที่นี่ ไม่ออกไปสำรวจบ้างเลยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับชะงักไปแวบหนึ่ง
ที่เขาว่ามา…มันก็จริง
เมื่อเห็นท่าทีของฉู่หลิวเยว่ เซียวหรานก์ถึงดับหมดคำพูด พลางส่ายหัวอย่างอนาถใจ
“ความจริงนอกจากเทือกเขาโอสถกับสระอัสนีบาตแล้ว ที่ตำหนักมายาแห่งนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกเพียบ พวกเจ้ามัวกระจุกตัวกันอยู่ที่นี่ให้ได้อันใด? เรื่องสมุนไพรนั้น อันที่จริงนอกจากพวกเจ้าแล้ว ก็ยังมีผู้ฝึกตนอีกหลายคนที่ประสบปัญหาเช่นนี้ พวกเขาจึงมักจะไปซื้อที่เจินเป่าเก๋อ ราคาของย่อมเยา ต่อรองได้ แถมคุณภาพไม่เลวด้วย”
“เจินเป่าเก๋อ?”
ฉู่หลิวเยว่เผลอพูดตามโดยไม่รู้ตัว สีหน้าฉายแววประหลาดใจ
เซียวหนานผงะไปนิด
“ก็ใช่นะสิ นี่คือร้านที่ใหญ่ที่สุดในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ ไม่ใช่แค่สมุนไพรเท่านั้น แต่พวกเขายังขายสมบัติอื่นๆ อีกมากมายด้วย อันใดกัน มีปัญหาอันใดหรือ?”
………………..