ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2209 มาแล้ว
ตอนที่ 2209 มาแล้ว
………………..
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับมาอีกครั้ง มุมปากบางยุโค้งขึ้นยิ้มรับ
“ไม่มีเจ้าค่ะ เพียงแต่นามนี้ช่าง…คุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยได้ยินมาก่อนรำไร”
เซียวหนานไม่ได้ใส่ใจนัก
“อย่างใดเสียร้านแบบนี้ ก็ใช้ชื่อจำเจถมเถไป”
ฉู่หลิวเยว่คิดตาม และเห็นด้วย
น่าจะแค่บังเอิญกระมัง…
“ท่านบอกว่าที่นั่น นอกจากจะมีสมุนไพรขายแล้ว ยังขายสมบัติด้วยหรือ?”
“ใช่แล้ว! พวกเจ้าเพิ่งมา อาจจะยังไม่รู้ ผู้ฝึกตนมากมายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นคู่ค้าลับๆ กับร้านเจินเป่าเก๋อกันทั้งนั้น อย่างเซียนหมอระดับสูงพวกนั้นที่สามารถนำสมุนไพรจำนวนหนึ่งจากเทือกเขาโอสถมาใช้ได้อย่างเสรี พวกเขาขายสมุนไพรเหล่านั้นให้ร้านเจินเป่าเก๋อ เรียกกำไรแบบขายส่งโดยเปลี่ยนมือผู้ค้า ด้วยวิธีนี้ ทำให้คนที่ไม่สะดวกขึ้นไปเอาสมุนไพรบนเทือกเขาโอสถ ได้รับสิ่งที่ต้องการตามประสงค์ แถมยังไม่เสียสุขภาพจิตด้วย”
ตัวอย่างเช่นฉู่หลิวเยว่ หากนางอยากเข้าไปในสวนสมุนไพรบนเทือกเขาโอสถ ก็จำต้องหายาอายุวัฒนะระดับสูงไปติดสินบนมหาปรมาจารย์โอสถ
ซึ่งต้องจ่ายด้วยราคาสูงและไม่คุ้มค่า
แต่ถ้าไปร้านเจินเป่าเก๋อ ก็จะได้สินค้าในราคาที่ย่อมเยา
โดยรวมแล้วถือเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
ยกเว้นเสินสื่อลำดับแปด
“แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น…เสินสื่อลำดับแปดจะไม่โกรธเคืองหรือ?”
แค่พวกน้องแปดต้องการเก็บผลวิญญาณสวรรค์ ก็เจออีกฝ่ายคัดค้านเสียเต็มประดา
และการมีอยู่ของร้านเจินเป่าเก๋อ ถือเป็นการขัดผลประโยชน์ของอีกฝ่ายอย่างมาก
เช่นนี้แล้วเสินสื่อลำดับแปดจะยอมรับได้จริงหรือ?
“แน่นอนว่านางย่อมไม่เห็นด้วย แต่ถ้าตายก็ทำอันใดไม่ได้ นางควบคุมเทือกเขาโอสถได้ แต่ร้านเจินเป่าเก๋อแห่งนี้ นางมิหาญกล้าลงมือหรอก”
“หือ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความสงสัย
ตำแหน่งเสินสื่อแห่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงศักดิ์ยิ่งนัก ร้านเจินเป่าเก็อแห่งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร ถึงต้องเกรงกลัวกันเช่นนี้?
“เรื่องนี้มันยากเกินจะอธิบาย แน่เพราะท่านผู้นั้นแห่งร้านเจินเป่าเก๋อ นางจึงไม่กล้ากวนใจเขา!”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เซียวหร่านก็ยอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ราวหวาดระแวง
“ความจริงแล้ว ไม่ค่อยมีใครในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ที่กล้าพูดถึงคนผู้นั้น วันนี้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเพียงเท่านี้ เจ้าจำไว้ให้ขึ้นใจก็พอแล้ว”
ปุจฉานานาคำที่เตรียมพุ่งออกมาจากปากของฉู่หลิวเยว่ จำต้องกลืนหายลงไปในลำคออีกครั้ง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“มีอันใดให้ขอบคุณกัน?”
เซียงหรานส่ายหัวเหนื่อยหน่าย สองแขนยกขึ้นประสานสองมือพาดไว้หลังศีรษะ แล้วสาวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะหันกลับมามองพลันกล่าวว่า
“จริงสิ ข้าเห็นทักษะด้านปรมาจารย์ของเจ้าไม่เลวเลย ไม่เข้าใจตรงไหน ก็มาถามข้าได้ ตอนนี้ข้าเบื่อหน่ายยิ่งนัก”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“แน่นอนเจ้าค่ะ”
ร่างสูงโปร่งของเซียวหรานยืดตัวก้าวเท้าออกไปอย่างถือดี ฉูหลิวเยว่คิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดว่า
“ข้าจะลองไปร้านเจินเป่าเก๋อดูเสียหน่อย”
หัวซวงซวงตอบรับทันที
“นายท่าน ข้าจะไปกับท่านด้วย”
“ข้าด้วย!”
ในที่สุดน้องแปดก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นอน นางอ้าปากหาวพลางเดินไปหาอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน
“น้องแปด ง่วงขนาดนี้เจ้าไม่ต้องไปหรอกกระมัง?”
“ต้องไปด้วย ข้าไม่…”
ข้าไม่มีสมุนไพรเหลือแล้ว
หลังจากหลุดปากออกไปสองสามคำ น้องแปดก็รีบปิดปากฉับในทันใด
“ข้าเบื่อนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่นี่แล้ว ให้ข้าออกไปเดินเล่นกับนายท่านดีกว่า”
นางกล่าวระรัวพลางกอดแขนฉู่หลิวเยว่แน่น หัวทุยเอนเอียงซบไหล่นายของตนอย่างออดอ้อน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับคำ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
…
อาณาเขตของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล ภายในรายล้อมไปด้วยเรือนจวนและร้านรวงมากมาย
และดีร้านเจินเป่าเก๋อนั้นตั้งอยู่บนทำเลที่ยอดเยี่ยม ทำให้พวกเขาหาร้านเจอได้ในเวลาอันสั้น
บนถนนสายนี้ ผู้คนมากมายต่างเดินไปยังทิศทางเดียวกับพวกเขา
และเมื่อมาถึงสนามที่ดังกล่าว พวกเขาจึงยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้ ล้วนมุ่งหน้ามายังร้านเจินเป่าเก๋อแห่งนี้
เพลานี้หน้าร้านเจินเป่าเก๋อนั้นเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรเข้าออกกันให้ขวัก แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่หยุดฝีเท้า แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
นี่คืออาคารที่สร้างขึ้นด้วยความประณีต เพียงมองจากภายนอก ก็พอจะประมาณการได้ถึงความใหญ่โตของมัน
ด้านบนมีแผ่นป้ายสีทองแขวนไว้ว่า ร้านเจินเป่าเก๋อ
เหมือนกับชื่อร้านที่อยู่ในอาณาจักรเหยาเฉินเมื่อตอนนั้นไม่มีผิด เพียงแต่ลายมือต่างกัน
นางพยายามระงับความสงสัยในใจไว้ แล้วก้าวเข้าไปในร้าน
หลายคนที่อยู่รอบๆ ร้านต่างหันมามองนาง
ไม่ใช่เพราะพวกของฉู่หลิวเยว่ดูแปลกแยกหรือกระไร แต่เป็นเพราะสามคนที่ย้ำเท้าเข้ามาพร้อมกัน ดูโดดเด่นสะดุดตาต่างหาก
รวมทั้งฉู่หลิวเยว่ที่…
งดงามเกินผู้ใดในใต้หล้า อากัปกิริยาวิไลโสภาน่ามอง ลมปราณอันเจิดจรัสปกคลุมไปทั่วสรรพางกาย
และที่สำคัญกว่าก็คือ ข่าวลือที่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนบนเส้นทางดวงดาว นางใช้เวลาน้อยที่สุดทะลวง
ไปถึงปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
“นั่นมิใช่ซั่งกวนเยว่หรอกหรือ?”
“ใครกัน?”
“ก็คนนั้นไง! คนที่ทุบสถิติของมู่หยาเฟิงไงเล่า!”
“ได้ข่าวว่าหลายวันก่อนนางเดินที่ค่ายกลวิญญาณยักษ์แล้วโดนกักอยู่นานสองนาน ข้านึกว่านางยอมแพ้แล้วกลับไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเจอนางที่นี่”
“พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่านางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ คงคิดจะมาซื้อสมุนไพรที่นี่กระมัง…แล้วข้างๆ นาง ก็หน้าเหมือนสองคนที่ถูกเสินสื่อลำดับแปดขับไล่ออกจากเทือกเขาโอสถเลยหนิ”
น้องแปดกัดฟันกรอด ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
ฉู่หลิวเยว่ลูบมือของนางเบาๆ แล้วหัวเราะในลำคอ
“เอาล่ะ พวกเรามาซื้อของ เหตุใดไปเสียอารมณ์กับคนอื่น? ประเดี๋ยวเข้าไปดูสินค้าด้านใน หากพบสิ่งที่ต้องการ ก็ซื้อมาให้หมด”
น้องแปดฉีกยิ้มออกมาทันที
“นายท่านของข้าดีที่สุดเลย!”
พวกของฉู่หลิวเยว่เพิกเฉยต่อสายตาคนรอบข้าง
และเดินเข้าไปในร้านเจินเป่าเก๋อ
…
“เจ้าว่าอันใดนะ? นายท่านไม่ยอมให้ข้าออกไปงั้นหรือ?”
เหยียนเกอที่กำลังเล่นแผ่นหยกขาวในมืออย่างสบายใจ พลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยตกใจ
“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่นี่คือรับสั่งของนายท่าน ขอเจ้าจงเข้าใจ”
หางตาของเหยียนเก๋อตากระตุกเบาๆ ก่อนจะปัดมืออีกฝ่ายออกจากไหล่ตน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบตึง
“ถ้าครั้งหน้าเจ้าอยากแสดงความเสียใจจริงๆ ก็ช่วยเก็บรอยยิ้มกว้างๆนั่นให้มิดหน่อย แบบนั้นถึงจะน่าเชื่อถือขึ้นมาบ้าง”
“โถ่เอ้ย เจ้าฟังนะ อย่างไรเสียตอนนี้นายท่านก็ย้ายเจ้ากลับมาแล้ว เพียงแต่ขอให้เจ้าเก็บตัวอยู่เงียบๆ สักพัก แค่นี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?”
เหยียนเก๋อเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงอ่อนราวหมดแรง
“นายท่านบอกให้รอนานเท่าใด?”
“ไม่ได้บอก”
“…”
อวี๋มั่วยิ้มเยาะเบาๆ
“เจ้าอย่ากังวลนักเลย พระชายาและผู้ติดตามมาถึงแล้ว คงใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้า…”
แต่จู่ๆ ท่าทีของเหยียนเก๋อก็เปลี่ยนไป
“มาแล้ว”
อวี๋มั่วชะงัก
“ใครมาแล้ว?”
เหยียนเก๋อแทบจะกลอกตาใส่เขาในทันที
“จะเป็นใครได้อีก? ก็พระชายาไง!”
“ข้าไปเอง!”
อวี๋มั่วผุดลึกขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
“เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย!”
ครั้นพูดจบ ไม่รอให้เหยียนเก๋อได้ตอบรับ ร่างเงาของเขาก็หายวับไปจากห้อง
ใบหน้าของเหยียนเก๋อสั่นไหวด้วยความโกรธ
“…เหอะ! ไอ้คนไร้ยางอาย! เหมือนกันกับเยี่ยนชิงไม่มีผิด!”
หลังจากได้สบทด่า ในใจของเหยียนเก๋อก็รู้สึกขึ้นไม่น้อย
แต่เมื่อนึกถึงคนผู้นั้นที่อยู่ชั้นล่าง หัวใจของเขาก็ไม่อาจสงบลงได้เลย
………………..