ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2213 คุณสมบัติไม่เพียงพอ
………………..
ที่ชั้นสอง
เหยียนเก๋อแอบหูแนบประตู กลั้นลมหายใจสุดฤทธิ์
เมื่อได้ยินหมิงซูกล่าวเช่นนั้น ก็ถึงกับทุบอกตัวเองด้วยความหงุดหงิด
“เจ้าโง่นั่น! พูดตรงๆ แบบนั้นได้อย่างใดกัน!”
เขาแค่อยากให้หมิงซูไปลองเชิงดูว่าจะแอบส่งมอบ “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” ออกไปแบบลับๆ ได้หรือไม่ สรุปไฉนถึงโพล่งออกไปอย่างเถียรตรงเช่นนั้น?
แม้แต่คนโง่ยังดูออกว่ามันไม่ปกติ!
แค่นายท่านไม่ยอมให้เขาโผล่หน้าออกไป เขาก็อึดอัดใจเจียนตายแล้ว ยามนี้ยังให้หมิงซูออกไปจัดการแทนเขาอีก สุดจะทนเสียจนสิ้นใจ
แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินชายาของนายท่านชะงักเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบตกปากรับคำด้วยความยินดี
“ตกลง”
เหมือนว่านางจะไม่ได้ลังเล หรือสงสัยอันใด
หมิงซูจึงรีบว่าต่อ
“เชิญเลย”
เหยียนเก๋อยกมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจยาวราวหนักใจ
แค่หายตัวไปไม่กี่ปี เจ้าโง่นี่ก็ยังดักดาน การงานไม่เคยพัฒนาเลยสักนิด
แค่จะคาดหวังยังไม่กล้าเลย แต่โชคดีที่ของสิ่งนั้นถูกส่งออกไปแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปทีละนิดก็แล้วกัน!
“แม่นางซั่งกวน โปรดตามข้ามาทางนี้”
เมื่อได้ยินคนทั้งสองตกลงเดินขึ้นมาชั้นบน เหยียนเก๋อจึงรีบถอยหลังหลบไป แล้วซ่อนลมปราณไว้อย่างแนบเนียน
…
พวกเขานั้นฉลาดหลักแหลม แน่นอนว่าต้องเข้าใจในทีว่าประโยคนี้ หมายถึงมีแค่ฉู่หลิวเยว่เท่านั้น ที่ขึ้นชั้นสองได้
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้โต้แย้งอันใด ซ้ำยังหันไปมองสองสหายด้วย
“พวกเจ้าเลือกเสร็จแล้วก็กลับเลยไปเลยนะ ข้าน่าจะกลับช้าหน่อย”
หัวซวงซวงว่าต่อ
“นายท่านขอรับ พวกข้ากลับไปก็ไม่มีอันใดทำ ให้รอท่านอยู่ที่นี่มิได้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก หากเสร็จธุระฝั่งนี้แล้ว เดี๋ยวข้ากลับไปเอง”
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ยึดมั่นคำเดิม หัวซวงซวงและน้องแปดจึงไม่มีทางเลือกอื่นนะ นอกจากยินยอมแต่โดยดี
สถานที่แบบร้านเจินเป่าเก๋อ หากคิดจะทำกิจส่วนตัวสักนิด คงไม่มีอันใดให้กังวลนัก
น้องแปดเองก็ขาดแคลนสมุนไพรจริงๆ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ว่าอันใด จึงไม่เกรงใจ ขยับเท้าออกไปอีกด้านของผนังทันที
“…น้องแปด ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าเจ้าขอสมุนไพรจากซานซานไปเยอะมาก เหตุใดตอนนี้ยังจะหอบขนไปอีก?“
น้องแปดหยีตาลง ระบายยิ้มเก้อเขินระคนลังเล
“นายท่านเองก็รู้ว่าข้าพิถีพิถันเรื่องสมุนไพรเพียงใด แน่นอนว่าแค่นั้นคงใช้…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย
“พอๆ หยิบๆ ไปเสีย หากกลับไปแล้วยังไม่พอใช้ ก็ค่อยกลับมาใหม่”
นัยน์ตาของน้องแปดทอประกายวาววับ
“นายท่านจ่ายเบี้ยแทนข้าเช่นนี้ สมกับงามสุดในสุราลัย!”
ฉู่หลิวเยว่ชินชากับคำเยินยอของนางแล้ว หลังจากรอให้หมิงซูทำบัญชีเสร็จ พวกเขาก็ส่งสองสหายกลับไป
“เห้อ”
เมื่อเห็นสองคนยอมกลับไปแต่โดนดี ฉู่หลิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ใครว่าครอบครัวใหญ่แล้วจักสบายกัน?
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หมิงซูนั้นอดทนรออย่างใจเย็น
ฉู่หลิวเยว่พนักหน้ารับ
“ต้องรบกวนใต้เท้าหมิงแล้ว”
ครั้นกล่าวจบ ทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังบันไดกลางทันที
…
เมื่อเดินมาถึงเชิงบันได ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมอง
ขั้นบันไดนี้ดูไม่ได้แตกต่างจากบันไดปกติ
เดิมทีนางคิดว่าอาจจะมีค่ายกลกับดักรออยู่
แต่เมื่อมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กลับยิ่งรู้สึกว่าร้านจินเป่าเก๋อแห่งนี้ช่างลึกลับแลทรงพลังแปลกๆ
ไม่มีค่ายกลป้องกัน ไม่ค่อยมีคนเข้ามา
ดูคร่าวๆ เหมือนร้านทั่วไปที่เปิดขายตามอัธยาศัย แต่ความจริงแล้วกลับทรงพลังและมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลัง
“แม่นางซั่งกวน เรียนเชิญ”
หมิงซูเบี่ยงตัวไปด้านข้าง แล้วผายมือขึ้นไปด้านบน เชิงให้ฉู่หลิวเยว่ขึ้นไปก่อน
แต่ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะก้าวเท้า กลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากประตูร้าน
“ใต้เท้าหมิง นั่นท่านกำลังจะทำอันใด?”
น้ำเสียงนี้ช่างคุ้นหู
ฉู่หลิวเยว่เอียงตัวหันมามอง พลันเลิกคิ้วสงสัย
ร่างที่ยืนอยู่นอกประตู มองไปยังคนทั้งสองด้วยความตกตะลึงอึ้งทึ่ง หากมิใช่มู่หยาเฟิงแล้ว จะเป็นใครได้อีก?
“แม่นางมู่ เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีก?”
ครั้นเห็นมู่หยาเฟิง รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของหมิงซูพลันหายวับไปทันตา น้ำเสียงแข็งข้อ ไร้ความประณีประนอม ต่างจากตอนที่ช่วยเหลือฉู่หลิวเยว่ก่อนหน้านี้
คิดไม่ถึงว่าพอกลับมาแล้ว จะได้เห็นภาพนี้
นี่พวกเขาคิดจะทำอันใดกัน?
ถ้าฟังไม่ผิด หมิงซูกำลังเชิญซั่งกวนเยว่ขึ้นไปชั้นบนใช่หรือไม่?
ครู่ก่อนนางยังถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใยอยู่เลย!
นี่แค่พริบตาเดียวเท่านั้น!
นางเห็นชัดว่าหมิงซูมีทัศคติที่ดีต่อซั่งกวนเยว่ และปฏิบัติต่ออีกฝ่ายดีกว่านางเสียอีก
ถึงเมื่อก่อนเวลานางมาที่นี่ หมิงซูจะบริการนางอย่างดีแต่ก็ไม่ขั้นนี้เลยสักครา
“ข้า…”
มู่หยาเฟิงสติหลุดลอยไปชั่วขณะ พักหนึ่งถึงจะดึงสติกลับมาได้
“ข้าแค่อยากจะกลับมาซื้อสมุนไพรสองสามอย่าง แต่…ใต้เท้าหมิง เมื่อครู่ท่านบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชั้นสองชั้นสามจะไม่เปิดให้บริการแก่คนนอกมิใช่หรือ? แล้วตอนนี้มันเกิดอันใดขึ้น?”
นางพยายามระงับความโกรธในใจสุดฤทธิ์ ทว่าภายในน้ำเสียงนั่น ยังปรากฏความขุ่นเคืองไม่พอใจออกไปเป็นระยะ
หมิงซูก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และเอ่ยเสียงเย็นชา
“ก็ใช่ ตอนนั้นจ้าบอกว่าจะไม่เปิดให้บริการแก่คนนอก แต่แม่นางซั่งกวน มิใช่คนนอก”
ปลายขนตาของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย
มู่หยาเฟิงพลันหน้าซีดเผือด
“ใต้เท้าหมิง นี่ท่านหมายความอย่างใด”
“แม่นางซั่งกวนมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์ชั้นสูง ทางร้านของเราจึงจ้างวานแม่นางซั่งกวน ให้เข้ามาช่วยเรียบเรียงคัดเล่มม้วนภาพค่ายกลที่รวบรวมไว้ในร้านเจินเป่าเก๋อ ดังนั้นแม่นางซั่งกวนจึงไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด”
มู่หยาเฟิงนึกว่าตัวเองหูเพี้ยนไป พลันหัวเราะกลั้วอย่างฉุนเฉียว
“ใต้เท้าหมิง ท่านแน่ใจรึ? ข้ายอมรับว่านางโดดเด่นจริงๆ แต่ด้วยระดับของนางในตอนนี้ อย่างใดก็ดูไม่น่าผ่านเกณฑ์กระมัง?”
ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ร้านเจินเป่าเก๋อทำแบบนี้
อย่างใดเสีย ม้วนภาพค่ายกลจำนวนมากที่ถูกเก็บไว้ในร้านแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่า ที่หลายคนต่างหมายปอง และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการหาคนมาคัดลอกมันขึ้นซ้ำๆ
แต่เพราะมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้นทางร้านจึงค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคัดคน
เดิมทีมู่หยาเฟิงต้องการ “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” และเคยต้องการทำหน้าที่นั้น แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธ
นางไม่เคยคิดเลยว่าร้านเจินเป่าเก๋อ จะเชิญคนอย่าวซั่งกวนเยว่ ที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แถมยังไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์อีก!
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่รู้เลยว่าจะทำให้ฝูงชนแตกตื่นขนาดไหน
“ในเมื่อซั่งกวนเยว่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ก็เกรงว่าคนในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ คงไม่ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”
หมิงซูหัวเราะในลำคอเบาๆ
“แม่นางมู่ ข้าขอบอกไว้อย่าง ย้อนกลับไปครั้งที่เจ้าอยู่บนเส้นทางดวงดาว กว่าเจ้าจะเดินจากประตูสวรรค์ถึงอาณาเขตค่ายกลระดับยอดราชันปรมาจารย์นั้น ใช้เวลาถึงยี่สิบเจ็ดวันเต็ม ยังไม่รวมก่อนหน้านี้ที่เจ้าแวะเวียนไปเส้นทางดวงดาว แล้วศึกษาค่ายกลเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ซั่งกวนเยว่ที่เพิ่งมาถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ กลับตรงไปมันเลย แม้แต่กลวิธีแปลกๆ นางก็ไม่ได้ใช้เช่นเจ้า”
“แล้วตอนนี้เจ้า มีสิทธิ์อันใดมาว่านางไม่เหมาะสม?”