ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2214 โอ๊ะ
ตอนที่ 2214 โอ๊ะ
………………..
มู่หยาเฟิงไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งนางจะถูกหักหน้าจนอับอายเพียงนี้
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบคาย แม้ท่าทีจะยังสุภาพสุขุม
แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้ใบหน้างามแดงเถือก ร้อนฉ่าด้วยความอับอาย
เพราะมันคือความจริงทั้งนั้น!
ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มีอัจฉริยะอยู่มากมาย
ทุกวันนี้การที่นางมีชื่อเสียงและจุดยืนอยู่ได้ บ่งบอกว่านางนั้นทักศักยภาพโดดเด่นอย่างแท้จริง
แต่คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ต่างกลัวการเปรียบเทียบ
หากนางเป็นที่หนึ่ง ย่อมไม่มีใครนินทา
แต่ถ้าวันหนึ่งมีใครบางคนโผล่มา บดขยี้ศักดิ์ศรีของเราในพริบตา เช่นนั้นจะต้องรู้อย่างไร?
มู่หยาเฟิงไม่ชอบหน้าฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่แรกเห็น นั่นนางหัวไวเกินไป เพียงไม่กี่วันก็ก้าวผ่านเส้นทางดวงดาวได้แล้ว ใครเห็นก็ต่างอึ้งทึ่งในศักยภาพนั้น!
ก่อนหน้านี้นางปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ
แต่สิ่งที่หมิงซูทำในตอนนี้ ไม่ต่างจากการเปิดโปงนางเลย! พูดแทรกหน้าด่ากันตรงๆ เช่น ก็เหมือนด่าว่าสู้ใครเขาไม่ได้!
“แม้ว่ายามนี้แม่นางซึ่งกวนจะเป็นเพียงปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา แต่เดาได้เลยว่าในไม่ช้า นางจะนางจะทะลวงขึ้นสู่ยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ แม่นางมู่ เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์ น่าจะรู้ว่าพรสวรรค์ สำหรับปรมาจารย์แล้ว สำคัญขนาดไหน”
สำหรับจอมยุทธ ยังสามารถชดเชยข้อบกพร่องของตนได้ด้วยการหมั่นเพียรฝึกฝน แต่สำหรับปรมาจารย์ มิอาจทำเช่นนั้นได้
หากปราศจากความเข้าใจเที่ยงแท้และลมปราณแห่งจิตวิญญาณ ต่อให้จ้องมองม้วนภาพค่ายกลนานสิบปี ร้อยปี ก็ไม่อาจเข้าใจมันได้
ยิ่งระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเห็นความแตกต่างของพรสวรรค์ภายใจปรมาจารย์แต่ละคนได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
นี่คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาปฏิเสธคำขอของมู่หยาเฟิง ไม่มีเหตุผลอื่น ก็แค่ไม่เข้าตากรรมการเฉยๆ
มู่หยาเฟิงกัดฟันกรอด พลางปรับสีหน้าของตนให้เรียบเฉย
“เช่นนั้นข้ามิส่งแล้ว”
ใต้เท้าหมิงหัวยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองฉู่หลิวเยว่
“เชิญท่าน…”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย พลางยกเท้าก้าวขึ้นบันไดไป
…
บันไดวนกลางร้านเจินเป่าเก๋อทอดตัวยาวเป็นเกลียวกลวงขึ้นไปด้านบน ทั่วทั้งขั้นบันไดถูกทำมาจากไม้เนื้อดี
ครั้งสาวเท้าขึ้นไปก็จะได้กลิ่นหอมของเนื้อไม้จางๆ ลอยเข้าจมูก
ฉู่หลิวเยว่เดินขึ้นไปข้าๆ และในที่สุดก็ถึงชั้นสอง
การออกแบบของชั้นสอง แตกต่างจากชั้นหนึ่งโดยสิ้นเชิง
บนชั้นไม่มีสิ้นค้าจัดแสดง แต่มีห้องเล็กๆ จัดแยงเป็นสัดส่วนเรียงกันอย่างเรียบร้อย
“แม้นางซั่งกวน เจ้าสิ่งนั้นวางอยู่ในสุดในห้องนั้น”
หมิงซูก็เดินขึ้นมา แล้วเดินนำฉู่หลิวเยว่ไป
ฉู่หลิวเยว่มองซ้ายขวา หากแต่มิได้พูดอะไร และเดินตามอีฝ่ายไปด้านหน้า
หมิงซูเปิดประตู
ฉู่หลิวเยว่ก้าวเท้าเข้าไป
แม้ห้องนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่ก็ตกแต่งอย่างหรูหรา ข้าวของที่เห็น และของตกแต่งด้านในล้วนใช้ของคุณภาพดี
หมิงซูเดินมาที่ชั้นหนังสือข้างกำแพง แล้วหยิบกล่องไม้ด้านบนลงมา เขาหมุนตัวกลับแล้วยื่นมันให้ฉู่หลิวเยว่
“ภาพทมิฬสิ้นอัคคี ทั้งสองม้วนอยู่ข้างในนี้ ท่านลองมองม้วนแรกก่อนก็ได้ อุปกรณ์จำเป็นในการคัดลอกวางอยู่บนโต๊ะตรงนั้น ท่านหยิบใช้ได้ตามต้องการเลย”
ฉู่หลิวเยว่มองไปตามทิศดังกล่าว ก่อนจะเห็นสิ่งของมากมายที่วางไว้บนโต๊ะริมหน้าต่าง
“การคัดลอกค่ายกล ต้องใช้เวลาและพลังปราณเยอะมาก โดยเฉพาะข้าในตอนนี้ ที่ขอบเขตพลังปราณมิได้สูงนัก บางทีอาจจะคัดลอกให้เสร็จโดยเร็วมิได้…“
เขาดึงใบเสร็จออกมา พลางกวาดตามองอย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะเบาๆ
“ท่านคัดลอกค่ายกลของปรมาจารย์ค่ายกลระดับหมาราชาสักสิบรูปแบบก็พอ และก็ถ้าเป็นค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ลอกมารูปแบบเดียวพอ”
ฉู่หลิวเยว่คำนวณในใจ และพบว่า “ราคา” นี้ มิได้แพงอย่างที่คิด
คนอื่นอาจคิดว่ามันยุ่งยาก แต่สำหรับนางแล้ว ไม่ใช่ปัญหาเลย
และนางอยากรู้จริงๆ ว่า “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” นี้สิ่งลึกลับอันใดซ่อนอยู่กันแน่
“ถ้าไม่มีอันใดแล้ว เช่นนั้น…ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว”
หมิงซูบอกนาง และเตรียมเดินออกไป
“ประเดี๋ยวก่อน”
แต่จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็รั้งเขาไว้
“ข้ามีเรื่องไม่แน่ใจอยู่ แต่ไม่รู้ใต้เท้าหมิงจักช่วยได้หรือไม่?”
“ท่านบอกมาก่อนเถอะ ถ้าช่วยได้ข้าจะช่วย”
หมิงซูตอบกลับทันที
ฉู่หลิวเยว่ช้อนตามองเขา มุมปากบางสองข้าวยกขึ้นนิดๆ แย้มยิ้มเกรงใจ
“ข้าชื่นชมในตัวผู้ดูแลรองของร้านเจินเป่าเก๋อยิ่งนัก มิทราบว่าจะมีโอกาสได้พบเขาหรือไม่?”
“เรื่องนี้…”
หมิงซูตกใจไม่คิดว่านางจะถามแบบนี้ พลันชะงักไปครู่หนึ่ง
“ช่วงนี้ผู้ดูแลรองไม้ค่อยสบาย น่าจะ…ไม่สะดวกออกมาพบใคร”
“เรื่องนี้ข้าทราบดี ข้าหมายถึง รอให้ผู้ดูแลรองหายป่วยแล้ว ข้าอยากขอบคุณเขาต่อหน้า”
“มิเป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่เดาไว้แล้วว่าผู้ดูแลรองคนนี้ พบตัวได้ยากนัก ที่หมิงซูตอบมานางเป็นไปตามคาดการณ์เปะๆ
“ข้ารอได้”
หมิงซูพลันโล่งใจ แล้วหมุนตัวออกไปทันที”
…
ประตูห้องถูกปิด
เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ในห้อง
นางจ้องไปทางที่หมิงซูเพิ่งเดินออกไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตาแล้วเปลี่ยนทิศไปมองกล่องไม้ใบนั้น
ภายในมีตำราวางอยู่สองเล่ม
ฉู่หลิวเยว่หยิบมันออกมา
มองเผินๆ มันดูไม่ต่างจากสมุดภาพค่ายกลทั่วไป
ฉู่หลิวเยว่หยิบเล่มแรกขึ้นมา แล้วกางออก
สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ ค่ายกลระดับยอดราชันปรมาจารย์
อืม ดูคุ้นตามากๆ
ฉู่หลิวเยว่ไม่แปลกใจสักนิด และพลิกไปดูหน้าถัดไป
อือ อันนี้ก็คุ้นมากเหมือนกัน
สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง และเปิดไปหน้าสาม ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“เอาค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ มาแบ่งย่อยเป็นค่ายกลระดับยอดราชันปรมาจารย์หลายๆ อัน…ช่างสรรหาลูกเล่นดีจริงๆ”
สุ่มเสียงอ่อนนุ่มเชิงหยอกล้อ มุมปากบางยกยิ้มขันอยู่รำไร
จากนั้นนางก็อ่านตำราเล่มแรกจนจบ
อย่างที่ได้ยินมา ค่ายกลที่ปรากฏบนตำรานั้น แลดูสลับซับซ้อนกว่าค่ายกลบนเส้นทางดวงดาวอยู่นิดหน่อย
บนค่ายกลแต่ละอัน จะมีรายละเอียดประกอบไว้ทุกอัน
บางอันมีน้อย บางอันมีมาก
แต่สำหรับการทำความเข้าใจค่ายกลแล้ว ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่เอนกายนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหยิบเล่มที่สองขึ้นมา
“โอ๊ะ”
…
มู่หยาเฟิงออกมาจากร้านเจินเป่าเก๋อ เดิมทีสับเท้ากลับเรือนไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในอกกลับอึดอัดราวกับมีบางอย่างปอดกั้นหลอดลม จนแทบหายใจไม่ออก
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ฉายซ้ำในหัว เจ็บจี๊ดจนสมองแทบระเบียด
และในที่สุด นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อดึงสติ ก่อนจะหมุนตัวไปอีกทาง แล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
…
จิ้นอวิ๋นไหล่เงยหน้าขึ้นจากตำรา สองคิ้วขดเข้าหากันนิดๆ
“มู่หยาเฟิง? เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”