ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2215 จี้ถาม ตอนที่ 2216 แก้วตาดวงใจ
ตอนที่ 2215 จี้ถาม ตอนที่ 2216 แก้วตาดวงใจ
………………..
ตอนที่ 2215 จี้ถาม
“ข้าไม่รู้ ข้าแค่กลับลงมาจากเทือกเขาโอสถ แล้วพบกับนางที่นอกประตูตำหนัก”
ชูจิ้งส่ายหัวพัลวัน
“ดูจากสีหน้านางแล้ว ดูไม่ค่อยดีเท่าใดเลย”
แม้มู่หยาเฟิงจะพยายามเก็บซ่อนเพียงใด แต่ชูจิ้งดำรงตำแหน่งเสินสื่อลำดับแปดมาหลายปีแล้ว แค่นี้เหตุใดจะมองไม่ออก
จิ้นอวิ๋นไหล่ขบคิดอยู่พักหนึ่ง พลันหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
ภายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ น้อยคนนักที่จะได้รับสิทธิ์เข้าออกอย่างอิสระ
ถึงมู่หยาเฟิงเกือบจะข้ามผ่านเส้นทางแห่งดวงดาวได้แล้ว แต่นางก็ยังต้องได้รับการชี้แนะหลายอย่างจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
“จริงสิ ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อน มีคนทำลายสถิติของมู่หย่าเฟิงได้หรือ?
จู่ๆ ชูจิ้งก็นึกขึ้นมาได้ และถามไปเช่นนั้น
“และถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่า…จะเร็วกว่าเจ้านิดหน่อยด้วยใช่หรือไม่?”
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมาแล้ว
อีกอย่าง เสินสื่อถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ ควรแก่การเคารพนับถือ บุคคลทั่วไปจึงแทบไม่กล้าเอาใครมาเปรียบเทียบกับเสินสื่อเลย
จิ้นอวิ๋นไหล่ตอบกลับ
“คนผู้นั้นมีนามว่าซั่งกวนเยว่ พรสวรรค์ไม่เลว น่าเสียดายที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
ท่าทีของชูจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์หรือ? เช่นนั้น…”
แต่ทันใดนั้น นางก็นึกถึงเด็กสาวผู้งดงามดั่งนางสวรรค์ ที่เคยพบบนเทือกเขาโอสถก่อนหน้านี้
ดูเหมือนจะมาด้วยกันสินะ?
…
เมื่อมาถึงด้านนอกประตูใหญ่ จิ้นอวิ๋นไหล่พลันเบนสายตาไปมองมู่หยาเฟิงในทันที
มู่หยาเฟิงก้าวไปข้างหน้าแล้วแสดงความเคารพ
“คารวะเสินสื่อลำดับแปดเจ้าค่ะ”
“มิใช่ว่าเจ้ากำลังศึกษาค่ายกลอยู่หรือ ไยวันนี้ถึงมาที่นี่กัน?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ถามเข้าประเด็นทันที
มู่หยาเฟิงก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“อย่างที่ท่านกล่าวไว้ การจะศึกษาค่ายกลอันนั้น ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง ข้าจึงต้องไปที่ร้านเจินเป่าเก๋อ เพื่อหาตำราภาพทมิฬสิ้นอัคคี เล่มที่สอง”
จิ้นอวิ๋นไหล่หรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ภายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ปรมาจารย์หลายคนต่างปรารถนาและตั้งตารอตำราม้วน “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” กันทั้งนั้น และหลายคนซื้อเล่มแรกกลับมาแล้ว
เพียงแค่เล่มแรกก็แพงจนกระเปาฉีกแล้ว จึงมีเพียงไม่กี่คนที่ซื้อได้
มู่หยาเฟิงเองก็มุ่งมั่นเรื่องเส้นทางแห่งดวงดาวสุดๆ ไม่แปลกที่นางจะยอมทุ่มสุดตัวใช้เบี้ยจำนวนมหาศาลเพื่อเอาชนะมันให้ได้
“แต่… ใต้เท้าหมิงไม่ยอมขายเล่มสองให้ข้า และบอกว่าจากนี้ไป สินค้าบนชั้นสองและชั้นสาม จะไม่ถูกวางขายแก่ลูกค้าภายนอกแล้ว”
จิ้นอวิ๋นไหล่ขมวดคิ้วฉับทันที
“ไยถึงปุบปับเช่นนี้? เพราะอันใดกัน?”
ในความทรงจำของเขา ร้านเจินเป่าเก๋อแทบไม่ค่อยกระทำการเช่นนี้เลย
“ใต้เท้าหมิงกล่าวว่าผู้ดูแลรองไม่สบาย และนี่…ก็เป็นคำสั่งของเถ้าแก่ใหญ่ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ้นอวิ๋นไหล่พลันชะงัก และเปลี่ยนท่าทีอย่างเร็ว
“เช่นนั้น เจ้าก็ล้มเลิกเรื่องภาพทมิฬสิ้นอัคคี เล่มสองเถอะ”
“ตอนนั้นขาจึงเอ่ยขอตัวกลับ แต่…แต่จู่ๆ ใต้เท้าหมิงก็เชิญซั่งกวนเยว่ขึ้นไปบนชั้นสอง และยังขอให้นางคัดลอกลายค่ายกลให้ร้านเจินเป่าเก๋อด้วย…”
“เจ้าว่าอันใดนะ!”
จิ้นอวิ๋นไหล่เองก็ตกใจกับข่าวนี้
“เขาเลือกซั่งกวนเยว่?”
มู่หยาเฟิงผงกหัวรับคำ
“เดิมทีพวกนางตั้งใจไปซื้อสมุนไพรที่ร้านเจินเป่าเก๋อ แต่หลังจากนั้นไม่รู้เหตุใด ใต้เท้าหมิงถึง…และก็ ใต้เท้าหมิงบอกว่าขอเพียงซั่งกวนเยว่ช่วยคัดลอกลายค่ายกลให้ จากนี้ไปก็สามารถหยิบใช้สมุนไพรต่างๆ ในร้านเจินเป่าเก๋อได้ตามอัธยาศัย…”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!”
แต่ก่อนที่จิ้นอวิ๋นไหล่จะได้ต่อความ ก็ได้ยินเสียงของชูจิ้งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
สองคิ้วเรียวของนางขมวดมุ่นเข้าหากัน
“เพราะเอาสมุนไพรบนเทือกเขาโอสถไม่ได้ พวกนั้นเลยหันไปพึ่งร้านเจินเป่าเก๋อหรือ?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ขมวดคิ้วทันที ก่อนจะถามว่า
“เจ้าห้ามไม่ให้พวกนางขึ้นไปบนเทือกเขาโอสถงั้นหรือ?”
ตอนที่ 2216 แก้วตาดวงใจ
ชูจิ้งโต้กลับทันควัน
“ไม่ใช่ว่าข้าห้ามไม่ให้พวกเขาไป แต่นี่คือกฎของเทือกเขาโอสถ พวกเขาไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ และหายาอายุวัฒนะในระดับเดียวกันมาแลกเปลี่ยนไม่ได้ แน่นอนว่ากฎก็ย่อมเป็นกฎ”
“กฎของเทือกเขาโอสถ เดิมทีเป็นเจ้าต่างหากที่ตั้งขึ้นเอง”
จิ้นอวิ๋นไหล่เบนสายตาไปทางอื่น ไม่หันมามองนางอีก
พวกเขารู้จักกันมาหลายปีแล้ว เขารู้ดีว่าชูจิ้งกำลังคิดอันใดอยู่
เทือกเขาโอสถที่ทอดตัวยาวหลายพันลี้ สถานที่ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่เติบโตมาอย่างดี สมบัติทางธรรมชาติอันไร้ที่สิ้นสุดและมีมูลค่านับไม่ถ้วน
และชูจิ้งก็แค่อยากได้ส่วนแบ่งของลาภลอยนี้
ในเมื่ออำนาจในการดูแลเทือกเขาโอสถถูกส่งมอบให้นางแล้ว ขอแค่นางไม่ได้ทำอันใดสุดโต่งเกินไป พวกคนด้านบนก็ไม่คิดจะสนใจใยดีด้วยซ้ำ
นางเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์อันเข้มงวดและมีชั้นเชิงเหล่านั้น โดยนำคำที่ว่า “ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร”[1] มาใช้ได้อย่างเฉียบแหลม
ถึงจิ้นอวิ๋นไหล่จะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่นางทำนั้น ถือเป็นวิธีในการคัดคนและจำกัดจำนวนการใช้สมุนไพรของเหล่าปทุชนได้ระดับหนึ่ง
ถ้าต้องการสมุนไพรที่ดีที่สุด? ก็ต้องหาของที่สมน้ำสมเนื้อมาแลกกัน
ถ้าคุณสมบัติไม่ผ่านล่ะ?
เช่นนั้นก็รีบถีบตัวขึ้น พัฒนาความแข็งแกร่งของตนเพื่อให้ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้เสีย!
แม้เรื่องพรรค์นั้นจะแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม…
คนแบบนั้น ไม่ควรมาอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว
ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของคนอ่อนแอหรอกนะ
แม้นในบรรดาเสินสื่อทั้งหมด ลำดับของจิ้นอวิ๋นไหล่จะอยู่ก่อนชูจิ้ง แต่เพราะเสินสื่อแต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน ถึงจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็ยากที่พวกเขาจะก้าวก่ายหน้าที่ของกันและกัน
จิ้นอวิ๋นไหล่ไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับชูจิ้งแล้ว จึงได้แต่เตือนว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจนัก แต่อย่าลืมว่าร้านเจินเป่าเก๋อ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจักไปทำให้ขุ่นเคืองได้”
ชูจิ้งเริ่มลุกลี้ลุกลน
“อย่าลืมล่ะ ไม่ว่าทางนั้นจะทำอันใด ก็ไม่ใช่เรื่องข้ากับเจ้าจะพูดว่า ‘ไม่’ ได้”
แค่คำพูดที่เพิ่งกล่าวมา ถึงหูร้านเจินเป่าเก๋อ ก็สร้างปัญหามากมายแล้ว
ดวงตากลมโตสวยเฉี่ยวของชูจิ้งสั่นไหว ก่อนจะยอมก้มหน้ารับคำในที่สุด
“อืม…ข้ารู้”
การถูกดุต่อหน้ามู่หยาเฟิงเช่นนี้ ทำเอานางเจ็บช้ำน้ำใจจนปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
นางอยู่ที่นั่นไม่นานนัก ก่อนจะหาข้ออ้าง และหันหลังกลับไปโดยเร็ว
กระทั่งร่างของนางหายไปจากครรลองสายตา จิ้นอวิ๋นไหล่ถึงค่อยหันมามองมู่หยาเฟิงอีกครั้ง
“ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการกล่าวเตือนอย่างจริงจัง
มู่หยาเฟิงตกใจและตอบกลับพัลวัน
“เจ้าค่ะ มู่หยาเฟิงจำขึ้นใจเลยเจ้าค่ะ”
นางกล่าวเช่นนั้นพลางหลุบตาลงต่ำ ใจดวงน้อยเต้นระรัวราวหวาดหวั่น
นางรู้ดีว่าร้านเจินเป่าเก๋อนั้นได้ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่คอยหนุนหลัง แม้แต่เสินสื่อยังไม่กล้าท้าทายอำนาจ
ดูๆ แล้วเหมือนว่าเสินสื่อจะไม่อยากมีปัญหากับร้านเจินเป๋าเก๋อด้วยซ้ำ ถึงได้เลือกหลีกเลี่ยง หลบคมเคียวให้พ้นตัว!
“ข้า…ข้าเพียงสงสัยว่า เหตุใดร้านเจินเป่าเก๋อถึงเลือกนาง…”
มู่หยาเฟิงกระซิบถาม พลางเงยหน้าขึ้นมองจิ้นอวิ๋นไหล่อีกครั้ง
“พรสวรรค์ของซั่งกวนเยว่นั้น โดดเด่นเกินใคร”
จิ้นอวิ๋นไหลเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“แม้นางจะไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ และไม่อาจทะลวงสวรรค์ผันกายเป็นเทพได้ แต่ร้านเจินเป่าเก๋อให้ความสำคัญกับนางมาก ถ้าบอกว่าให้นางอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์พักหนึ่ง เพื่อช่วยคัดลอกรูปค่ายกลเหล่านี้ ก็พอเข้าใจได้”
“อย่างใดเสีย มันก็เรื่องของพวกเขา เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจนัก ถึงนำ ‘ภาพทมิฬสิ้นอัคคี’ มาไม่ได้ เจ้าก็กลับไปศึกษาเพิ่มเติมเอาเองได้ มิได้ต่างกันเท่าใด เหล่าดาราเรียงราย ค่ายกลมากมายรวมตัว อยากเข้าใจถึงแก่นแท้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย”
มู่หยาเฟิงรู้จักจิ้นอวิ๋นไหล่เป็นอย่างดี นางรู้ว่าที่เขาพูดมานั้นหมายความว่าอันใด ไม่จำเป็นต้องถามเพิ่มอีก นางผงกศีรษะรับคำอย่างชาญฉลาด และหันหลังจากไปทันที
จิ้นอวิ๋นไหล่หมุนตัวกลับเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ขณะสาวเท้าเข้าไป สองคิ้วพลันขมวดมุ่น
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาพูดโน้มน้าวชูจิ้งและมู่หยาเฟิงนั้น ไม่อาจโน้มน้าวใจเขาได้ดังปากว่า
การตัดสินของร้านเจินเป่าเก๋อในครานี้ เขาเองก็ประหลาดใจไม่ต่าง
แต่ทว่า…คงไม่มีโอกาสได้ถามออกไป
เพราะสุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็ต้องออกไปจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
…
ฉู่หลิวเยว่ใช้เวลาสองชั่วยาม เพื่อศึกษาตำรา “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” ทั้งสองเล่มจนจบ
พูดให้ถูกก็คือ “ทบทวน” จบต่างหาก
นางวางตำราสองเล่มลงแล้วนวดหว่างคิ้วเบาๆ
ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่า เมื่อก่อนพวกพี่เป่าทั้งสามคน เคยมาที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์กันจริงๆ
หรือความจริงอาจจะเพิ่งออกไปจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
แต่เพราะยามนี้ไม่ได้พบใคร นางจึงยังตัดสินเลยไม่ได้
อีกอย่าง ตอนนี้นางก็ยังไม่อยากรีบตรวจสอบเรื่องนี้
นับตั้งแต่พบว่าพี่เป่าหลอกนางว่าค่ายกลระดับปรมาจารย์ผู้ที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เป็นเพียงค่ายกลธรรมดา นางก็รู้สึกมึนงง มืดแปดด้านไปหมด
“ใจร้ายใส่กันได้ลงคอนะ!”
เนิ่นนานหลังจากนั้น ในที่สุดนางก็สบถออกมาเบาๆ
หลังจากผ่อนคลายจิตใจสักพัก นางก็เลิกคิดถึงเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ และเริ่มคัดลอกลายค่ายกลจากเล่มแรก
“แม่นางซั่งกวน ท่านคัดภาพเสร็จแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ถึงการเคลื่อนไหวของตน
อย่างใดเสียที่นี่ก็คืออาณาเขตของพวกเขา
นางพยักหน้าแล้วยื่นตำราเล่มใหม่ในมือให้เขา
“ค่ายกลสิบอันอยู่ในนี้หมดแล้ว ใต้เท้าหมิงโปรดตรวจดูก่อนเถิด”
หมิงซูรับมันไปด้วยรอยยิ้ม
“ฝีมือของแม่นางซั่งกวนทั้งคน ย่อมเชื่อถือได้อยู่แล้ว”
เดิมที่เขาอยากพูดว่าไม่ต้องตรวจก็ได้ แต่เพราะกลัวโจ่งแจ้งเกินไป สุดท้ายเลยทำเป็นตรวจทานดูคร่าวๆ
ราวหนึ่งเค่อผ่านไป เขาก็ปิดตำราและเอ่ยอย่าขันแข็งว่า
“แม่นางซั่งกวนช่างเก่งกาจจริงๆ! เพียงเวลาสั้นๆ ก็สามารถคัดลอกค่ายกลสิบอันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกขึ้นเล็กน้อย
“ใต้เท้าหมิงพอใจก็ดีแล้ว เช่นนี้ข้าขอตัวลา”
ถึงนางจะคัดต่อได้ แต่มิต้องรีบร้อน ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ดีกว่า
นอกจากนี้ ถ้ามีเหตุให้มาที่นี่บ่อยๆ ก็จะมีโอกาสได้เจอผู้ดูแลรองมากขึ้น
มากจนอาจได้เจอ…เถ้าแก่ใหญ่ผู้นั้น!
“ข้าไปส่งท่านเอง!”
หมิงซูกล่าวทันควัน
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขันและขอตัวลา
หลังจากที่นางหายลับไปจากตัวร้าน หมิงซูยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง
“ผู้ดูแลรอง นางไปแล้ว”
เหยียนเก๋อลูบหน้าผากปอยๆ
“ข้ารู้แล้ว”
หมิงซูดึงสายตากลับมามองตำราภาพในมือด้วยความปลื้มปิติ แล้วตะโกนลั่น
“แม่นางซั่งกวนผู้นี้…สุดยอดจริงๆ!”
เหยียนเก๋อแค่นหัวเราะ
“นั่นคือแก้วตาดวงใจของเถ้าแก่ใหญ่ร้านเราเชียวนะ ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!”
[1] แพ้เป็นเจ้า ชนะเป็นโจร เป็นการอุปมาว่า ผู้ชนะ ต่อให้ไร้ความสามารถ แต่งัดด้วยเล่ห์เหลี่ยมแล้วชนะ ก็ถือเป็นผู้ชนะที่ถูกคนสรรเสริญเยินยอ ต่างจากผู้แพ้ ที่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่หน้าแพ้ก็เป็นเพียงโจรกระจอกไร้ค่า