ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2217 ลมปราณ
ตอนที่ 2217 ลมปราณ
………………..
หมิงซูสะดุ้งตกใจอย่างแรง จนเกือบเผลอโยนตำราในมือ
“ผะ ผู้ดูแลรองหมายความว่า…”
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเหยียนเก๋อสั่งเพียงว่า คนผู้นี้พิเศษมาก ต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่ใครจะรู้ว่า…
เหยียนเก๋อเหลือบมองเขา
“เมื่อครู่เจ้า เอาแต่เรียกท่านผู้นั้นว่าแม่นางซั่งกวนใช่หรือไม่?”
“ชะ ใช่แล้ว มะ…มีปัญหาอันใดหรือ?”
น้ำเสียงของหมิงซูสั่นเครือ ราวสัมผัสได้ถึงบางอย่างลางๆ
เหยียนเก๋อแสร้งทำทีเห็นอกเห็นใจ
“ไม่มี ไม่มี เรียกแบบนี้ตอนอยู่ข้างนอกไม่เป็นไรหรอก แต่จำไว้ว่าต่อหน้าเถ้าแก่ใหญ่ต้องเรียกนางว่า ‘พระชายา’ ”
หมิงซู “…”
“นอกจากนี้ หากมีใครบางคนเช่นมู่หยาเฟิงที่เข้ามาบุกรุก เจ้าสามารถส่งเขาออกไปได้โดยตรง”
เหยียนเก๋อกอดอกและหรี่ตาลง
“ส่วนว่าจะส่งเขาออกไปหรือส่งไปลงนรกก็แล้วแต่ สำหรับเจ้า อันใดที่ทำให้ตาและหูของเจ้าสกปรก?”
หมิงซู “!”
“อีกอย่าง ถ้าหลังจากนี้มีคนแบบมู่หยาเฟิงบุกเข้ามาในร้านอีก เจ้าไม่ต้องเกรงใจ จับโยนออกไปเลย”
เหยียนเก๋อกอดอกพลางหรี่ตาลง
“จะส่งไปสวรรค์วิมาน ยมบาลอันใดก็แล้วแต่ เจ้าจัดแจงเอาเองแล้วกัน อย่าให้มันอยู่รกหูรกตาพระชายาเข้าใจหรือไม่?”
หมิงซู “…”
ส่งลงยมโลกอันใดกัน จะทำเรื่องแบบนั้นได้ที่ไหน!
เหยียนเก๋อยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ
“จิ้นอวิ๋นไหล่รึ จะกล้าหือ?”
…
ฉู่หลิวเยว่เดินออกมาจากร้านเจินเป่าเก๋อ หากมิได้มุ่งหน้ากลับเรือน แต่เปลี่ยนทิศทางสาวเท้าไปยังเส้นทางแห่งดวงดาวอีกครั้ง
ยามนี้นางกำลังยืนอยู่กลางเส้นทางแห่งดวงดาว
เมื่อมองลงไปก็จะเจอกับประตูสวรรค์
ครั้นมองขึ้นไปข้างบนก็จะเห็นตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
เส้นทางดวงดาวเปล่งแสงแพรวพราวระยิบระยับ
ครั้นกวาดตามองด้วยความเร็ว ก็จะเห็นร่างเงามากมายกระจายตัวกันอยู่บนเส้นทางดวงดาว ราวกำลังศึกษาค่ายกลบนนั้น
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปใกล้แล้วมองลงไป
ที่นี่คืออาณาเขตของค่ายกลระดับมหาปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่
นางเบนสายตาไปมองค่ายกลไม่กี่อันที่ใกล้ที่สุด พลางแอบถอนหายใจเบาๆ และอดไม่ได้ที่ย้อนกลับไปมองตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
หากมิได้มาที่นี่ นางคงคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นตำหนักสูงเด่นเป็นสง่า ที่ลอยเหนือท้องนภาในทะเลทรายจันทราสีชาดด้วยตาตัวเองเช่นนี้
และไม่รู้ว่าที่นั่นจะเหมือนกับที่เคยเห็นก่อนหน้านี้หรือไม่?
“หยุดมอง ถ้ามองอีกครั้ง เจ้าจะไม่มีโอกาสเข้าไปข้างใน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองทันที ผู้มาใหม่นั้นมิใช่ใคร นอกจากเฉิงเพ่ย
เมื่อเทียบกับคราก่อน ยามนี้ใบหน้าเขาดูมีเลือดฝาดมากขึ้น เปี่ยมไปด้วยพลังปราณ ลมปราณรอบตัวเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
ชัดเจนว่าหลังจากเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาใช้ประโยชน์จากอันใดก็ตามที่อยู่ในนั้นเสียยิ่งกว่าคุ้ม
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับและตอบว่า
“ข้าเพียงเสียดายแทนนายท่านเยว่ ครั้นอยู่ที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ พรสวรรค์ของท่านเยว่นั้นช่างโดดเด่น ทรงพลังเกินต้าน ใครเล่าจักกล้าประมือด้วย? ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ยามนี้กลับถูกละเลย ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนทุกค่ำวันเพราะกลัวจะถูกไล่ออก…ท่านเยว่ ถ้าข้าเป็นเจ้า คงไม่มีหน้าดั้นด้นอยู่ที่นี่ต่อไปหรอก”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง พลางตอบไป
“ถ้าผู้อาวุโสเฉิงเพ่ยคิดอย่างนี้จริงๆ…เช่นนั้นต่อให้ข้าจากไปก็เหมือนเดิม”
เฉิงเพ่ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาพบว่า ไม่ว่าตัวเองจะพูดอันใดออกไป ก็เหมือนว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อฉู่หลิวเยว่เลย
จิตใจของนางแข็งแกร่งมาก แม้วาจาเหล่านั้นจักน่าเกลียดเพียงใด แต่นางก็ยังหัวเราะได้!
เขาสบถในลำคอเบาๆ
“ก็แค่นั้นแหละ ข้ายังมีเรื่องต้องทำอยู่อีก คงไม่ว่างเหมือนท่านเยว่”
ครั้นพูดจบ เขาก็ย่อตัวแล้วทะยานขึ้นไปบนทองฟ้า
“อาเยว่!”
ถวนจื่อพลันส่งเสียงขึ้นในจิตสำนึกของนาง
“อาเยว่! ตามเขาไปเร็ว! บนตัวเขามีกลิ่นของท่านปู่เจ้าสำนักด้วย!”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจและถามต่อทันที “เจ้าแน่ใจหรือ? มีลมปราณของผู้อาวุโสอี้เจาจริงๆ หรือ?”
“ข้าแน่ใจ! แน่ใจสุดๆ! ถึงจะบางเบามาก แต่ต้องใช่ ไม่ผิดแน่!”
ถวนจื่อรีบตอบจนลิ้นพันกัน
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
ร่างเงาของเฉิงเพ่ยกำลังจะหายไปจากครรลองสายตา เหมือนว่ากำลังพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นมัน…สระอัสนีบาต!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยพึมพำด้วยความไม่แน่ใจ
และมันอยู่ทางสระอัสนีบาต!
นางไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ และรีบพุ่งตัวตามเขาไปทันที!
…
ไม่นานเฉิงเพ่ยก็สัมผัสได้ว่ามีใครตามเขามา
สายตาเหลือบไปมองโดยมิตั้งใจ ใบหน้าพลันบึ้งตึงไม่น่ามอง แล้วลั่นวาจาถามไปว่า
“เจ้าตามข้ามาเหตุใด?”
หรือตามมาหาเรื่องเขาที่ก่อนหน้านี้พูดจาไม่เข้าหู?
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขานิ่งๆ ริมฝีปากงามระบายยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า
“ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตเพียงนี้ นอกจากตัวตำหนักที่ข้าเข้าไปไม่ได้แล้ว ที่อื่นข้าก็ไปไม่ได้รึ? ผู้อาวุโสเฉิงเพ่ย ท่านเคร่งครัดเกินเหตุไปหรือไม่?”
เฉิงเพ่ยกัดฟันกรอด
เห็นได้ชัดว่าฉู่หลิวเยว่ตามเขามา แต่ตอนนี้กลับกล้าปฏิเสธ
อย่างใดเสีย สำหรับเขาแล้ว พูดกับฉู่หลิวเยว่นั้นเหมือนพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้แย้งกับนาง
เขาแค่นหัวเราะหนึ่งที
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังจะไปที่สระอัสนีบาตเหมือนกันสินะ แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อน คนที่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ไปที่นั่นก็เหมือนสิ้นเปลืองพลังโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าควรรีบกลับไปจะดีกว่า พอไปถึงที่นั่น นอกจากไม่ได้อันใดแล้ว ยังต้องอับอายขายหน้าอีก เมื่อถึงตอนนั้นจะมานั่งเสียใจ ก็สายไปแล้ว”
“สระอัสนีบาต?”
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ
เหมือนว่านางจะเดาถูก เฉิงเพ่ยกำลังมุ่งหน้าไปที่สระอัสนีบาตจริงๆ
เมื่อก่อนบนกายของเฉิงเพ่ยไม่เคยปรากฏลมปราณของผู้อาวุโสอี้เจาเลย แต่ตอนนี้กลับมี เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรับมันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
และพอดูตอนนี้ ไม่แน่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับสระอัสนีบาตก็ได้!
เดิมทีเฉิงเพ่ยคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะหวั่นเกรงในคำพูดของเขา แต่กลายเป็นว่ามันไปกระตุ้นบางอย่างในตัวนางมากกว่า จนเจ้าตัวเร่งความเร็วมากขึ้น
“เจ้านี่มัน ไม่เจอทางตัน ไม่ยอมกลับลำ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!”
ครั้นไปถึงสระอัสนีบาต นางก็จะรู้เองว่า การตัดสินใจของตนนั้นโง่เขลาเพียงใด!
เฉิงเพ่ยยิ้มเยาะ แล้วรีบตามนางไป
…
ระหว่างสระอัสนีบาตและเส้นทางแห่งดวงดาวนั้นค่อนข้างไกลกันมาก
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งพบว่าจำนวนคนที่มุ่งหน้าไปยังสระอัสนีบาตรนั้น เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดเข้าหากัน
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าจิ้นอวิ๋นไหล่บอกว่าสระอัสนีบาตคือสถานที่ฝึกหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? แล้วเหตุใดผู้คนถึงยกโขยงมุ่งหน้าไปทางนั้นกันล่ะ?
ในเมื่อช่างหลอมอาวุธมีจำนวนน้อยกว่าเซียนหมอเสียอีก
และเฉิงเพ่ยผู้นั้นก็เป็นเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป แต่กลับดูหลงใหลในสระอัสนีบาตอย่างมาก
ราวกับว่า…มีของดีอยู่ที่นั่นอย่างใดอย่างนั้น
“อาเยว่! คนเมื่อครู่เองก็มีลมปราณของท่านปู่เจ้าสำนัก!”
“คนนี้ก็ด้วยนี่!”
เสียงของถวนจื่อดังก้องอยู่ในหูของนาง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ
และในที่สุดนางก็มาถึงสระอัสนีบาต!
นางลอยตัวอยู่ในอากาศแล้วมองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะเห็นภาพที่ทำเอาเกือบหยุดหายใจ
ทะเลทัณฑ์สวรรค์อันไร้ขอบเขต ม้วนตัวดั่งเกลียวคลื่น ซัดสาดใส่กันอย่างบ้าระห่ำ ก่อเกิดแนวคลื่นยักษ์สูงตระหง่านสู่ท้องนภา!
ภายในนั้นมีทัณฑ์สวรรค์รวมตัวกันอยู่นับไม่ถ้วน!