ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2219 กลับไปตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 2219 กลับไปตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
………………..
นับตั้งแต่ประสบกับเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในทะเลทรายจันทราสีชาด ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องที่ถวนจื่อพูดเองเช่นนี้
อี้เจาหายตัวไปและอาจติดอยู่ในสระอัสนีบาตแห่งนี้ ไม่สามารถหาทางออกมาได้
และเผ่าหงส์ทองคำทั้งเผ่าก็จะถูกบีบให้สิ้นอำนาจอีกครา
ฉู่หลิวเยว่ก็เชื่อว่าอี้เจาจักต้องเจ็บปวดเป็นแน่
เขาดิ้นรนทำทุกอย่างมากมายเพียงนี้ เพื่อไม่ให้สมาชิกในเผ่าทุกตนต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเหล่านั้น
ซึ่งหนึ่งในสมาชิกเหล่านั้น ก็รวมถึงถวนจื่อด้วย
ภาพตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ที่เด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหลัง ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่กล้ารับประกัน ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหรือไม่
แต่นางไม่กล้าปล่อยให้ถวนจื่อเข้าไปในสระอัสนีบาตเพียงลำพังหรอก
นางจะต้องไปด้วย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เลิกลังเลแล้วสาวเท้าไปข้างหน้าโดยตรง จากนั้น…
เพียงเท้าข้างหนึ่งจมลงในสระ!
ครืน!
ทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้าด้านบนพลันเคลื่อนตัวรวมกัน เสียงลมกระโชกหวีดร้องเสียดหู ทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นพุ่งมาตลิ่งฝั่งนี้ด้วยความเร็วสูง!
ฝูงชนที่เดิมทีหันมองนางเป็นพักๆ พลันเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างของนางก้าวเข้าไปอยู่ในสระอัสนีบาต พวกเขาอึ้งพูดไม่ออกกันพักใหญ่
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีแซ่เสียงวิจารณ์ดังขึ้นจากรอบด้าน
“นั่นคือซั่งกวนเยว่หรือ? นางลงไปในสระทั้งๆ แบบนั้นเลยหรือ? ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว?”
“ได้ยินว่านางเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ และมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ข้าเดาว่านางอาจต้านพลังของอัสนีบาตได้พักหนึ่ง…”
“เหอะ ใครจะรู้ว่านางคิดการใดอยู่ ก่อนหน้านี้ก็ยอมแพ้เรื่องถนนแห่งดวงดาวกลางคัน แล้วตอนนี้ยังมาที่สระอัสนีบาตรอีก บางทีนางอาจจะอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ภายในเวลาอันน้อยนิดขณะอยู่ที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้ ครั้นยามจากไป จะได้ไม่เสียดายนักกระมัง?”
…
“ครืน”
ขาทั้งสองข้างของนางจมอยู่ในสระอัสนีบาต
ทัณฑ์สวรรค์หลายสายรวมตัวกันหมุนวนรอบตัวนาง และปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ของนางในไม่ช้า
อย่างใดเสีย อาจเป็นเพราะนางอยู่แถวๆ ขอบสระ พลังปราณภายในทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ ถึงมิได้สร้างความเสียหายต่อกายาของนาง
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปข้างหน้า
…
ภายในห้อง เฉินอีกำลังเอนตัวพิงเก้าอี้
บนโต๊ะตรงหน้าเขามีขวดน้อยใหญ่หลายสิบใบตั้งอยู่
“อยู่ที่นี่แล้วหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำราวกระซิบ
ใต้ดวงตากลมโตของน้องแปดปรากฏรอยดำคล้ำ ก่อนจะล้มลงนอนบนเก้าอี้ยาวด้านข้างอย่างหมดแรง
“อยู่ที่นี่… กัน… หมดแล้ว…”
เฉินอียกมือขึ้นหยิบขวดหยกขึ้นมาหนึ่งขวดแล้วเปิดดู
กลิ่นหอมอันเข้มข้นของยา แพร่กระจายออกมาจากด้านใน
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดีกว่าครั้งที่แล้วนะ”
เป็นเรื่องยากที่จะได้ยินคำชมจากเขา น้องแปดรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความซาบซึ้ง
“จริงหรือ? ถ้าไม่คืบหน้า ข้าคงช้ำใจตายเพราะทำงานหนัก จนใต้ตาดำคล้ำเช่นนี้แน่ๆ”
เฉินอีผงกศีรษะสองที
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ข้าเองก็ตั้งใจทำมากเหมือนกัน!”
ช่วงนี้ความสามารถในการกลั่นโอสถของนางเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
แม้แต่นางเองก็ยังอยากจะร้องไห้กับความพรากเพียรพยายามอันหนักหน่วงของตน
เฉินอีเลิกคิ้วนิดๆ
“อย่างเจ้าเคย ‘ตั้งใจ’ กับใครเขาด้วยรึ?”
น้องแปด “…”
“ถ้าเจ้าตั้งใจมากพอ ยามนี้คงไม่ต้องฝึกฝนสิ่งเหล่านี้หรอก”
เฉินอีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มิใช่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่เป็นการพูดเรื่องจริง
และยิ่งพูดก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกของคนฟัง
น้องแปดถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาทันที
“พี่ใหญ่! ขนาดนี้ท่านก็ยังไม่พอใจอีกรึ!?”
นอกจากยาพวกนี้จะเป็นยาเม็ดระดับมหาปรมาจารย์โอสถทั้งหมดแล้ว ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือ
นางมิได้กลั่นออกมาเพียงเม็ดสองเม็ด แต่เป็นเก้าสิบถึงร้อยเม็ดเลยด้วยซ้ำ!
ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ใครต่อใครย่อมตกอกตกใจกันทั้งบาง!
แต่พี่ใหญ่ยังไม่พอใจอี?
ทันใดนั้น เฉินอีก็มองไปยังหัวซวงซวงที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ตอนนี้เหลียงเหอคือเซียนหมอระดับปรมาจารย์ ที่อายุน้อยที่สุดในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?”
หัวซวงซวงพยักหน้ารับ “ใช่ ไม่อย่างนั้น คงไม่สามารถส่งสมุนไพรมากมายมาให้เราได้ทุกวันเช่นนี้”
แม้นพวกเขาจะไม่ได้ร้องขอ แต่ก็จะมีของวางอยู่ตรงนั้นเสมอมา
“พี่ชาย ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
นี่หมายความว่า นางจะต้องรีบทะลวงขึ้นสู่เซียนหมอระดับปรมาจารย์ ให้เร็วที่สุดอย่างนั้นหรือ?
เฉินอีรวบเก็บเม็ดยาที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมด
“จะยอมหรือไม่ยอมทำ ก็แล้วแต่เจ้า”
น้องแปดบ่นอิดออด แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
หัวชวงซวงเลิกคิ้วขึ้น และมองไปเฉินอีสลับกับน้องแปดไปมา
พี่ใหญ่พูดว่า “จะยอมหรือไม่ยอม” แต่ไม่ใช่ “ทำได้หรือไม่ได้”…
แต่ดูจากปฏิกิริยาของน้องแปดแล้ว…
ทว่าขณะเดียวกัน จู่ๆ เฉินอีก็สังเกตเห็นอันใดบางอย่าง พลันลุกขึ้นยืนและมองออกไปข้างนอก
ดวงตาเรียวรีแลดูเย็นชา หรี่ลงทีละนิด
“พอคำนวณดูแล้ว ยามนี้นายท่านน่าจะกลับมาจากร้านเจินเป่าเก๋อแล้วมิใช่หรือ?”
หัวซวงซวงตกใจสะดุ้งโหยง “จริงด้วย พูดแล้วก็นานแล้วนะ… หรือจะให้ข้าไปดูดีล่ะ?”
“ไม่จำเป็น”
เฉินอีส่ายหัว
“นายท่านน่าจะไปที่สระอัสนีบาต อีกไม่นานก็กลับมา”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หัวซวงซวงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
เฉินอีชะงัก แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“น้องแปด ซื่อจิงอยู่ที่เทียนลิ่งรึ?”
น้องแปดพลิกตัว ก่อนจะตอบกลับอย่างเกียจคร้าน
“น่าจะเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็อยู่กับท่านตลอดมิใช่หรือ พี่ใหญ่? หลังจากที่นายท่านไปยังอาณาจักรเสิ่นซวี่ ซื่อจิงก็ถูกสั่งให้อยู่ที่ราชวงศ์เทียนลิ่ง เพื่อดูแลซั่งกวนโหยว… เหตุใดพี่ใหญ่ถึงถามหาเขารึ?”
ทางฝั่งซั่งกวนโหยวมีคนอื่นคอยคุ้มครองดูแลแล้ว และโดยพื้นฐาน สถานการณ์ทางฝั่งราชวงศ์เทียนลิ่งก็มั่นคงและเข้าที่เข้าทางแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้ซื่อจิงอยู่ที่นั่นต่อ
“ตอนนี้?”
น้องแปดและหัวซวงซวงต่างตกตะลึง
“มันไม่กะทันหันเกินไปหน่อยหรือพี่ใหญ่? ท่านอยากให้เรียกเขามาที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
เฉินอีสามารถติดต่อกับสิบสามหน่วยพิทักษ์เยว่ได้ตลอดเวลา
แต่ทว่าในยามนี้…
“อือ”
เฉินอีกพยักหน้าหนึ่งที
“ประตูสวรรค์ยังคงเปิดอยู่ บอกให้เขามาที่นี่ทันที”
น้องแปดกะพริบตาปริบๆ
“แต่ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พลังของพี่สี่เป็นอย่างใด? ถ้าเขาข้ามสมุทร ข้ามสะพานนั่นมาไม่ได้ล่ะ?”
เฉินอีกล่าวอย่างใจเย็น
“เขาไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดนั้น”
หัวซวงซวงกระแอมไอเบาๆ
น้องแปดหน้าบึ้งตึงทันควัน เหมือนโดนดูถูกเลย!
…
อันที่จริงสิ่งที่เฉินอีพูดมานั้นก็ถูก
ตั้งแต่ประตูสวรรค์เปิดออก ปะทุชนมากหน้าหลากตา ล้วนพยายามขึ้นมาด้านบนจริงๆ
แม้ว่าจะมีคนที่ทำสำเร็จอยู่เพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนก็ยังเดินหน้าต่อไป และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ขอเพียงมีความหวัง ถึงจะน้อยนิด แต่ก็คุ้มค่าที่จะลอง
…
เมื่อเชียงหว่านโจวตื่นขึ้นมา ทั่วทั้งห้องมีเพียงความเงียบสงบ
เขาลุกขึ้นนั่งพลางนวดขมับเบาๆ รู้สึกมึนตึงราวกับหลับไปเนิ่นนาน
แต่โชคดีที่อาการปวดหัวหายไปแล้ว
ช่วงนี้เขามักจะรู้สึกปวดหัวได้ง่ายๆ แล้วก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากมาถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ความรู้สึกนี้ก็ชัดเจนมากขึ้น
เขาก้มศีรษะลงและมองไปยังเส้นถวนซินจื่อที่พันอยู่รอบเอว
เขาตั้งสตินึกคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก
เมื่อเดินมาถึงภายในลานบ้าน กลับพบเพียงเฉินอียืนอยู่คนเดียว
เขาแสดงความเคารพ ก่อนจะสาวเท้าไปยังประตูเรือน
“นั่นเจ้าจะไปไหน?”
จู่ๆ เฉินอีก็ถามขึ้น
เชียงหว่านโจวหันกลับไปมอง เส้นผมสีทองเส้นเล็กปกคลุมเรียวคิ้วอันงดงามแลละเอียดอ่อนของเขา จนมองไม่ค่อยเห็นดวงตาและความรู้สึกนึกคิดที่สะท้อนอยู่ภายใน
เขาเอ่ยตอบเบาๆ ทว่าลื่นไหลและชัดเจน
“ก็ต้องกลับไปตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว”
………………..