ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2224 ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์
ตอนที่ 2224 ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์
………………..
รอบสี่ทิศล้วนเป็นความเงียบสงัดผืนหนึ่ง
ครู่หนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ถึงค่อยได้ยินเสียงของตนเอง
“ทัณฑ์สวรรค์สีทอง”
เคียวของมู่ตงโหย่วยิ่งแนบเข้าประชิด คล้ายว่าอีกครู่หนึ่งก็กำลังจะตวัดลงมา!
“แล้วอันใดอีก?”
เขาเอ่ยถามคาดคั้นต่อ
สายตาของเขาราวกับว่ามองเห็นถึงแก่นแท้ ในตอนที่ร่างกระทบลงบนกาย ก็คล้ายว่าจะคมกริบเสียยิ่งกว่าเคียวนั้นของเขา
ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอ เกรงว่าจะไม่กล้าสบตาเขาได้เลย
แววตาของฉู่หลิวเยว่แน่วนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย
“ไม่มีแล้ว”
มู่ตงโหย่วจ้องนางเขม็ง ราวกับว่ากำลังประเมินระดับความน่าเชื่อถือในวาจานี้ของนาง
ความเงียบงันแทรกเข้ามาอยู่ระหว่างทั้งสองอีกทั้งการเผชิญหน้ายังแทบจะทำให้คนหยุดหายใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มู่ตงโหย่วก็เก็บเคียวกลับไปในที่สุด
ขวับ!
“เจ้าไม่อยากรู้ผลของการโกหกต่อหน้าข้าหรอก”
ในน้ำเสียงเยียบเย็นของเขา ยังแฝงไว้ด้วยการบอกเตือนและคุกคาม
แต่ชัดแจ้งอย่างมากว่า เขาในเวลานี้เชื่อคำพูดของฉู่หลิวเยว่ชั่วคราว
นี่กลับมิใช่เพราะว่าเขาเชื่อใจฉู่หลิวเยว่ แต่เป็นเพราะเขาเชื่อใจในการป้องกันของเขตหวงห้ามสระอัสนีบาต
ยังดี…
เมื่อครู่นางสัมผัสได้ว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบคว้าถวนจื่อแล้ววิ่งมา
ทัณฑ์สวรรค์สีทองในเวลานั้นก็พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ฟื้นคืนกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้
ในตอนที่มู่ตงโหย่วรีบเร่งมาถึง ภาพฉากที่มองเห็นตรงหน้านั้นคือ ฉู่หลิวเยว่ยังอยู่ห่างจากทัณฑ์สวรรค์สีทองกลุ่มนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง
หากไม่ใช่เช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่าตนยากจะหลุดพ้นอย่างแน่นอน!
แววตาของนางวาบประกายเล็กน้อย พลันมองไปยังทัณฑ์สวรรค์สีทองที่กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้วปราดหนึ่ง
แสงเรืองรองวิบวับ ระยิบระยับเป็นประกาย อำนาจกดดันอันสุกสว่าง!
ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ที่ด้านหลังเอวของนางถูกชนเสียจนยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย แม้แต่นางเอกก็เกือบจะคิดไปเองแล้วว่า ทั้งหมดเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงแดนฝันของตนเอง
นางหลุบตาลง ปกปิดอารมรณ์ในนัยน์ตา
“ข้าไม่รู้ว่าที่นี่คือเขตหวงห้ามของสระอัสนีบาต ทำให้ขุ่นเคืองแล้ว หวังว่าเสินสื่อสำดับที่สี่จะให้อภัย ข้าจะรีบจากไปโดยเร็ว”
ฉู่หลิวเยว่พูด พลางถอยกายหมายจากไป
“ช้าก่อน!”
มู่ตงโหย่วจู่ๆ ก็เปิดปาก
ฉู่หลิวเยว่พลันชะงักเท้า แล้วค่อยๆ หันกายกลับมา
“เสินสื่อสำดับที่สี่ยังมีเรื่องอันใดหรือ?”
มู่ตงโหย่วจดจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง
“ร่างศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า…จำแลงมาจากทัณฑ์ทลายเทพหรือ?”
แสงเรืองรองงามวิจิตรที่วาบกะพริบพาดผ่านอยู่บนร่างนาง เขาไม่อาจเข้าใจผิด
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“มิน่าเล่า”
“แม้การที่เจ้าบุกเข้ามาในเขตหวงห้ามนั้นเป็นการละเมิดร้ายแรง แต่เมื่อคำนึงว่าเจ้าเป็นผู้มาใหม่ ครั้งนี้จึงจะปล่อยเจ้าไปก่อนครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ สามารถมาถึงจุดนี้ได้ด้วยเพียงกำลังตน ก็เพียงพอที่จะบอกชัดถึงพรสวรรค์ของเจ้า”
มู่ตงโหย่วรับผิดชอบอารักขาที่นี่มาตลอดทั้งปี แต่ผู้ที่สามารถบุกตรงมายังที่แห่งนี้ด้วยระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ นี่นับเป็นคนแรก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยังประทับใจต่อตัวฉู่หลิวเยว่อยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่กลับไม่คิดว่าเขาจะพูดเช่นนี้ออกมา พลันตกตะลึงครู่หนึ่ง
สายตาของมู่ตงโหย่วกวาดผ่านบนถวนซินจื่อที่บนเอวนาง ภายในดวงตาปรากฏความเสียดายหลายส่วน
“น่าเสียดาย…”
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวาบ
ไม่พูดไม่ได้ว่า ในช่วงนี้นางได้ยินแต่สองคำนี้จนใกล้จะทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว
น่าเสียดายที่ในเวลานี้นางไม่อาจพูดอันใดได้
อีกทั้งในตอนที่ทัณฑ์สวรรค์สีทองสายนั้นทะยานจะเข้ามาโจมตีนางเมื่อครู่นี้ ตรงหว่างคิ้วของนางก็ร้อนฉ่าไร้ที่เปรียบ
เหตุการณ์ประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ตัวฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ กระทั่งมันเกิดขึ้นเมื่อไร เลือนหายไปเมื่อไร ก็ล้วนไม่อาจควบคุมได้เลย
นางโค้งมุมปากเล็กน้อย แล้วเอ่ย
“พวกตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ เดิมทีก็ลิขิตกันไว้เรียบร้อยแล้ว หากจะสิ้นเปลืองกำลังไปกับเรื่องเหล่านั้น ไม่สู้นำเวลาเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ไปทำเรื่องที่มีความหมายเรื่องดีกว่า”
“เจ้านั้นพิจารณาจนเห็นจริงแล้ว”
มู่ตงโหย่วหัวเราะเสียงหนึ่ง
เดิมทีเขาก็ไม่ได้ไว้วางใจฉู่หลิวเยว่ แต่หลังจากได้ยินนางพูดวาจาเหล่านั้น กลับรู้สึกว่านิสัยของแม่นางน้อยผู้นี้ใจคอกว้างขวาง ค่อนข้างจะหาได้ยากอย่างยิ่ง
“เอาเถิด เจ้าไปเถิด หลังจากนี้หากอยากฝึกตน ก็อยู่ที่อาณาเขตด้านนอกนั่นก็พอ ไม่ต้องมายังที่แห่งนี้อีก”
มู่ตงโหย่วส่ายศีรษะ
รอจนเงาร่างของนางไปไกลแล้ว มู่ตงโหย่วถึงค่อยหันศีราะกลับไป
ท่ามกลางสระอัสนีบาต ทัณฑ์สวรรค์สีทองสีทองกลุ่มนั้น นิ่งงันไร้เสียง
เขาจดจ้องอยู่เนิ่นนาน
…
ซื่อจิงหาเรือนที่พวกเฉินอีพักอยู่พบอย่างรวดเร็ว
เขาเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูทางเข้า ประตูใหญ่ก็เปิดออกมาจากด้านใน
เฉินอีกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า
ซื่อจิงพลันแย้มยิ้มยิงฟัน “พี่ใหญ่!”
เฉินอีพยักหน้าเล็กน้อย
“เจ้ามาเร็วนัก”
ขณะเดินก็ก้าวเข้าไปด้านใน
ซื่อจิงตามเข้าใจ แล้วแย้มยิ้มเอ่ย
“หลังจากได้รับข้อความของพี่ใหญ่ ข้าก็รีบมานี่โดยม้าไม่ได้หยุดเท้าเลย! ยังดีที่ไม่นับว่าช้า!”
ขณะพูด เขาก็กวาดมองภายในเรือนรอบหนึ่ง
“นายท่านเล่า? ไม่อยู่ที่นี่หรือ?”
“นายท่านอยู่ที่สระอัสนีบาต ไม่ได้กลับมาชั่วคราว” เฉินอีเอ่ย
“สระอัสนีบาตหรือ?”
ซื่อจิงกำลังมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“ที่นั่นหรือ?”
แม้จะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่อำนาจอันทรงพลังของทัณฑ์สวรรค์สีทอง ยังง่ายต่อการแยกแยะเป็นอย่างยิ่ง
“หือ? อ้อ ได้เลย!”
ซื่อจิงกลับไม่ได้คิดอันใดมากนัก
ถึงอย่างใดสิ่งที่พี่ใหญ่บอกก็ล้วนถูกต้อง
พอดีกันกับที่ในเวลานี้ หัวซวงซวงก็เดินออกมาจากห้อง
“น้องสี่ เจ้ามาได้…เอ๋ เจ้าบรรลุระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ!?”
ใบหน้าของหัวซวงซวงตะลึงงันทั้งดวง
“เจ้าไม่ใช่ว่าอยู่ที่เทียนลิ่งฝั่งนั้นมาตลอดหรือ? เหตุใดจู่ๆ ก็บรรลุระดับขั้นรวดเร็วเพียงนี้?”
เขาในเวลานี้ล้วนอยู่เพียงแค่ขั้นเหนือเทพเองนะ
ซื่อจิงหัวร่อฮ่าๆ
“พี่รอง ไม่ใช่ข้าเร็วเกินไป เป็นท่านช้าเกินไปต่างหาก! ที่เทียนลิ่งฝั่งนั้น แม้เป็นนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่ก็มีสถานที่หลายแห่งเหมาะสมกับการฝึกตน ระหว่างนั้นข้าก็กลับแดนภังคะไปหลายครา พักอยู่ที่มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ไปอาณาจักรเสิ่นซวี่อีกรอบหนึ่ง ก็บรรลุระดับแล้ว”
“แดนภังคะหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าไปทะเลสาบกระจกมา เดิมทีคิดอยากไปดูทะเลทรายจันทราสีชาดสักหกหน่อย แต่เวลานั้นที่นั่นถูกปิดผนึกเอาไว้ คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้เลย ข้าก็ไปไม่ได้”
หัวซวงซวงพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ
เขารู้ว่าหลายปีก่อน ซื่อจิงติดตามเฉินอีไปพักอยู่ที่ป่าหมอกมายาโดยตลอด
เพียงในภายหลังป่าหมอกมายาพังทลายลงแล้ว อีกทั้งนายท่านก็ยังพาถวนจื่อกลับไป พวกเขาจึงไม่เคยไปอีก
ในสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ คาดว่าไม่มีใครเข้าใจแดนภังคะไปกว่าพวกเขาสองคนแล้วจริงๆ
เขาจะกลับมาก็เป็นเรื่องปกติ
ซื่อจิงมองไปทางเฉินอี
“พี่ใหญ่ ท่านให้ข้ารีบร้อนมาในครั้งนี้ ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่หรือ?”
ที่นี่เป็นที่พักของเหลียงเหอพอดี
เขาเคาะประตูเบาๆ
กึกๆ
เหลียงเหอเดินออกมาจากในห้องอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใด?”
เขามาถึงในลานกว้าง เพียงมองปราดเดียวก็เห็นเชียงหว่านโจวที่กำลังยืนอยู่ด้านนอก พลันสงสัยอยู่บ้าง
“เจ้าคือ…”
“นี่คือของของท่าน คืนให้เท่าจำนวนเดิม”
เชียงหว่านโจวหยิบสมุนไพรทั้งหมดออกมา วางไว้ที่หน้าประตู จากนั้นก็เดินจากไป
เหลียงเหอพลันงุนงง รีบร้อนร้องตะโกน
“เดี๋ยวก่อน!”
เชียงหว่านโจวชะงักฝีเท้า หันครึ่งกายมาหา บนใบหน้าอันวิจิตรเย็นชา ไม่มีความรู้สึกใด
“ยังมีธุระอันใดอีกหรือ?”
เหลียงเหอถูกดวงตาที่สุกใสแวววาวแต่กลับเย็นชาคู่นั้นจ้องมอง ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใด
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยถาม
“นี่คือ…ความหมายของแม่นางแปดหรือ?”
เชียงหว่านโจวหรี่ตามองเล็กน้อย
“นางเป็นคนของนายท่าน เจ้าจะไปใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ได้อย่างใดกัน”