ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2227 ก็ไม่เห็นจะสูงสักเท่าไร
ตอนที่ 2227 ก็ไม่เห็นจะสูงสักเท่าไร
………………..
คนที่ยืนอยู่หน้าธรณีประตูคือ มู่หย่าเฟิง
ซื่อจิงหันหน้ามาถามว่า
“นายท่าน ท่านรู้จักหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“แม่นางมู่มาในยามนี้มีเรื่องอันใดหรือ?”
สายตาของมู่หย่าเฟิงพาดผ่านซื่อจิงไป จนถึงร่างของฉู่หลิวเยว่
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากพูดคุยกับแม่นางซั่งกวน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้ม “มีเรื่องอันใด แม่นางมู่ว่ามาเถิด?”
มู่หย่าเฟิงเผยสีหน้าลำบากใจขึ้นหลายส่วน
“เอ่อ…ตรงนี้ไม่สะดวกนัก มิทราบว่าแม่นางมู่ให้ข้าคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจกระจ่างทันที
ดูท่าแล้วคงมิใช่เรื่องธรรมดา
แต่คงจะจริง เรื่องสามัญธรรมดาที่ไหน จะทำให้แม่นางมู่ผู้นี้เดินทางมาด้วยตนเอง
“แม่นางมู่เชิญเข้ามา”
…
มู่หย่าเฟิงตามฉู่หลิวเยว่เข้าไปในห้องของนาง
เมื่อทั้งสองนั่งลงแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าประเด็นทันที
“ตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครอื่น แม่นางมู่ว่ามาเถิด”
“หือ?” คิ้วแต่งแต้มสีดำของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้น
“ข้ามีวิธีทำให้แม่นางซั่งกวนพร้อมผู้ติดตามอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่อไปได้ อีกทั้งภายหน้าหากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดข้าจะหามาให้อย่างเต็มที่”
มู่หย่าเฟิงพูดชัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
นางคิดว่าเมื่อพูดถึงขั้นนี้ ฉู่หลิวเยว่จะต้องมีสีหน้าประหลาดใจและตื่นเต้นเป็นแน่
ทว่ากลับไม่เป็นดั่งที่คาดไว้ แม่นางตรงหน้าทำเพียงคลี่ยิ้มจางๆ สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน
“แม่นางมู่ต้องการสิ่งใด?”
มู่หย่าเฟิงให้ข้อเสนอเหล่านี้ ช่างใจกว้างอย่างไร้ข้อสงสัย
สำหรับคนที่ไม่ได้มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แล้ว นี่เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
มู่หย่าเฟิงกล้าเปิดข้อเสนอเช่นนี้ เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่นางต้องการย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก
มู่หย่าเฟิงกัดริมฝีปากแน่น
ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าความคิดทั้งหมดราวถูกฉู่หลิวเยว่ที่อยู่เบื้องหน้า อ่านออกทะลุปรุโปร่ง
ความรู้สึกนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
มิควรเป็นเช่นนี้นี่นา…
หรือว่านางไม่สนใจเรื่องที่สามารถอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่อได้เลยหรือ?
ต่อให้นางไม่สนใจ แล้วผู้ติดตามเหล่านั้นของนางเล่า จะไม่สนใจเลยหรือ
ท่าทางราวกับไม่แยแสสิ่งใดของฉู่หลิวเยว่ ชั่วขณะหนึ่งทำให้มู่หย่าเฟิงเกิดความเข้าใจว่าข้อเสนอที่ตนให้ไปนั้น ไม่สามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้
แม่นางผู้นี้ จิตใจช่างยากแท้หยั่งถึง….
มู่หย่าเฟิงคิดเช่นนั้นก็ถอนหายใจหนัก พลางช้อนตาขึ้นมองฉู่หลิวเยว่
“แม่นางซั่งกวนฉลาดหลักแหลมนัก อย่างนั้นข้าขอกล่าวตามตรง… ข้าต้องการภาพทมิฬสิ้นอัคคี”
“เกรงว่าจะทำให้แม่นางมู่ผิดหวังแล้ว” ฉู่หลิวเยว่ตัดบทของนางทันที “เรื่องที่ขอ ข้าไร้ความสามารถช่วยได้”
สีหน้าของมู่หย่าเฟิงแข็งค้าง
อันที่จริงนางก็หมดหนทางแล้วจึงได้มาที่นี่
ค่ายกลอันสุดท้ายบนเส้นทางดวงดาวนั้น ประกอบไปด้วยรูปแบบอันซับซ้อนมากมายเหลือคณา และยากที่จะบรรลุได้
นางกลับไปศึกษามานาน กลับไม่เข้าใจแม้เพียงครึ่ง
ค่ายกลอันเดียว กลับทำให้นางลำบากใจเช่นนี้
นางไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากนั้นจะยังต้องใช้เวลาอีกนานเพียงไร ใช้เรี่ยวแรงแค่ไหน!
แต่นางไม่อยากคอยท่าอย่างไร้ความหวังอยู่แบบนี้อีกแล้ว
ที่สำคัญคือ ครั้นมาถึงจุดนี้นางถึงได้เข้าใจว่า แค่อาศัยเพียงพลังบำเพ็ญของตนในตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุทั้งหมดนั้นได้ในเวลาอันสั้น ถึงขั้นที่ว่า…
นางเองยังไม่กล้าจะยืนยันว่ามองเห็นค่ายกลทั้งหมดได้หมดเปลือก
ยามนี้คนจำนวนมากในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ล้วนแอบพูดคุยว่าเมื่อใดนางถึงจะบรรลุเส้นทางดวงดาว
หากพวกเขารู้ว่านางไม่มีทั้งความมั่นใจและความสามารถ เยี่ยงนั้น…
หากเวลานั้นมาถึง ทั้งที่ลับทั้งที่แจ้ง ผู้คนไม่น้อยคงเฝ้าหัวเราะเยาะนาง
เมื่อคิดได้อย่างนั้นนางก็บังเกิดความคิดว่าจะต้องเอาภาพทมิฬสิ้นอัคคีมาให้ได้!
เมื่อมีข้อชี้แนะและแนวทางจากคัมภีร์ ปัญหาเหล่านี้จะต้องถูกขจัดไปอย่างง่ายดายเป็นแน่!
ร้านเจินเป่าเก๋อนั้นยากจะเข้าถึงแล้ว
แต่ไหนแต่ไรพวกเขาตรวจตราคุ้มกันของสิ่งนี้เข้มงวดรัดกุมยิ่ง
นับประสาอันใดกับยามนี้ที่ไม่รู้อันใดเลย ท่าทีที่พวกผู้ดูแลรองและหมิงซูมีต่อนางนั้น เย็นชากว่าเดิมมาก
เมื่อตรึกตรองไปมา นางจึงทำได้เพียงมาหาฉู่หลิวเยว่ หวังว่าจะได้ภาพทมิฬสิ้นอัคคีจากทางฝั่งนี้
กลับนึกไม่ถึงเลยว่านางเพิ่งเอ่ยปากพูด และยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธแล้ว!
ริมฝีปากแดงของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้น นัยน์ตาดุจหยกดำขลับกลับเย็นยะเยือก
“หากข้านำภาพทมิฬสิ้นอัคคีให้เจ้า ไม่เท่ากับว่าลักของที่ตนคุ้มกัน และทรยศต่อร้านเจินเป่าเก๋อหรือ?”
ถึงแม้นางจะไม่ใช่คนของร้านเจินเป่าเก๋อ แต่หากพิจารณาบางมุมแล้ว พวกเขาทั้งสองฝั่งก็ถือว่าร่วมมือกัน
หมิงซูไว้ใจนาง มอบของให้นางแล้ว
หากนางผันตัวไปทำข้อแลกเปลี่ยนกับมู่หย่าเฟิง…
“แม่นางซั่งกวน ข้ารู้ว่าสำหรับเจ้าแล้วเรื่องนี้น่าลำบากใจอยู่บ้าง แต่ข้าต้องการมันจริงๆ ถ้าเช่นนั้น เอาอย่างนี้ เจ้าไม่ต้องเอาทั้งหมดให้ข้า ข้าขอเพียงค่ายกลในนั้นส่วนหนึ่ง…”
“เกรงว่าสักครึ่งหนึ่งก็ไม่ได้”
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืน
“หากวันนี้ที่แม่นางมู่มาหาข้า ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าก็ไม่รั้งเจ้าไว้ เชิญ…”
ใบหน้ามู่หย่าเฟิงเขียวคล้ำ
นี่ถึงกลับไล่แขกแล้ว?!
มือในแขนเสื้อของนางกำเข้าหากันแน่นเป็นกำปั้น สะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ ก่อนจะถามว่า
“แม่นางซั่งกวน เรื่องนี้หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อย่างใดเสียเจ้าก็ต้องคัดลอกค่ายกล เช่นนั้นคัดลอกเพิ่มให้ข้าสักหน่อยจะเป็นไรไป ไหนจะข้อแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเจ้าได้มีสิทธิ์อยู่ที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป สำหรับข้าแล้วคิดว่าไม่ได้เสียเปรียบเลยสักนิด เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่เส้นถวนซิ่นจื่อ แล้วถอนหายใจ
“กล่าวตามตรง พวกข้าไม่รีบร้อนเรื่องนี้ ไม่รู้เหตุใดพวกเจ้าจึงสนใจยิ่งนัก หากอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป ก็ง่ายดายเพียงนี้มิใช่หรือ ทุกคนล้วนอาศัยความสามารถของตนเอง เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนี้ด้วย”
การที่นางมาที่นี้ เป้าหมายสำคัญก็คือการตามหาพวกพี่เป่าทั้งสามคน แล้วช่วยพวกเขาออกไป
ส่วนเรื่องอื่นนั้น…
นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ!
“ยิ่งไปกว่านั้น การคดโกงพรรค์นี้ก็เหมือนการมีลูก มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี จะพูดได้อย่างใดเล่าว่ามีนิดหน่อย?”
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ยิ่งทำให้สีหน้าของมู่หย่าเฟิงยิ่งนิ่งอย่างถึงที่สุด
“กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเจ้าจะไม่ช่วยข้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ข้าไม่สามารถช่วยได้”
สองมือของฉู่หลิวเยว่วางลงบนโต๊ะ เอนตัวไปด้านหน้า มองมู่หย่าเฟิงจากมุมที่สูงกว่า
“แม่นางมู่ เจ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ หรอกนะว่า หากเจ้าใช้ลูกไม้อื่นเพื่อบรรลุค่ายกลด่านที่เหลือเหล่านั้นจะไม่มีผู้ใดมองออก”
ริมฝีปากของมู่หย่าเฟิงสั่นเล็กน้อย
“เจ้า นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
มุมปากฉู่หลิวเยว่โค้งลงเล็กน้อย
“ไม่อย่างใด ข้าเพียงแต่เตือนเจ้าเท่านั้น เสินสื่อลำดับเจ็ดมิได้โง่เขลา”
พื้นฐานลมปราณของมู่หย่าเฟิงเป็นอย่างใด จิ้นอวิ๋นไหล่ย่อมกระจ่างแจ้งในใจดี
“หากเด็กแรกเกิดเดินได้ฉับพลัน คิดว่าเขาจะเดาไม่ออกหรือว่าเกิดอันใดขึ้น?”
มู่หย่าเฟิงแทบจะขบฟันขาวจนแตก
“นี่เจ้าปรามาสว่าข้าทักษะต่ำต้อยหรือ!”
ฉู่หลิวเยว่ตอบตามตรง
“ก็ไม่เห็นจะสูงสักเท่าไรนี่”
………………..