ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2228 ลักนภาหวนทิวากร
ตอนที่ 2228 ลักนภาหวนทิวากร
………………..
เปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งจากก้นบึ้งหัวใจของมู่หย่าเฟิงในบัดดล!
นางอยู่ที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นที่อิจฉาและชื่นชมจากทุกคน ไฉนจักถูกคนบอกว่านางความสามารถต่ำต่อหน้าทุกคน
แต่คนพูดคำนั้นกลับเป็นฉู่หลิวเยว่
นางไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็รู้ดีเช่นกันว่าเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย ตนเองนั้นยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
ดังนั้นหลังฟังประโยคนี้ แม้ว่าในใจนางจะเต็มไปด้วยความโกรธา ทว่าก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ปฏิเสธได้
มู่หย่าเฟิงโกรธจนแค่นหัวเราะออกมา
“ใช่สิ หากเทียบกับแม่นางซั่งกวน พื้นฐานลมปราณอันน้อยนิดของข้าไม่คู่ควรจะเอ่ยถึงจริงๆ แต่…แล้วอย่างใดเล่า หากไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็จะไม่มีทางที่ได้อยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ต่อไป! ขึ้นสรวงสวรรค์ต่อสู้กับทวยเทพยิ่งไม่มีทางเอื้อมถึง!”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้แม่นางมู่เป็นห่วง”
ริมฝีปากแดงของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้น ส่งยิ้มที่ดูอบอุ่นและจริงใจมาให้
“อย่างน้อยช่วงเวลานี้ข้าก็ยังคงช่วยร้านเจินเป่าเก๋อคัดลอกค่ายกลให้เรียบร้อย ส่วนที่เหลือก็ต้องว่ากันไปในแต่ละวัน เรื่องบางเรื่องมิสามารถไปบังคับได้ ใยจึงต้องทำให้ตนลำบาก มิสู้ยอมรับเสียจะดีกว่า”
มู่หย่าเฟิงร้องหึในลำคอ
“หากแม่นางมู่ว่างและยังมีแรงคิดเล่นเล่ห์กลโกง มิสู้กลับไปศึกษาค่ายกลให้เยอะสักหน่อย บางทีอาจมีประโยชน์กว่า แน่นอนว่าหากไม่เข้าใจจริงๆ ก็คงทำได้เพียงยืนยันกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ว่ามิอาจเอื้อมถึงเป้าหมายได้”
ฉู่หลิวเยว่ยืดตัวตรง ผายมือส่งแขก
“แม่นางมู่ เชิญเถิด”
มู่หย่าเฟิงลุกขึ้นยืน ในดวงตาคล้ายมีไฟกำลังลุกไหม้
“ซั่งกวนเยว่ เจ้าจะเสียใจกับการตัดสินใจวันนี้!”
มู่หย่าเฟิงถูกยั่วให้โมโหจนพูดไม่ออก นางกัดฟันกรอดก่อนจะหันตัวจากไป
ซื่อจิงที่ยืนอยู่ในลานบ้าน เห็นมู่หย่าเฟิงสีหน้าถมึงทึงเดินจากไป พร้อมดูท่าทางผิดหวัง
แม่นางมู่ผู้นี้เป็นอันใดไป
ตอนมาเมื่อครู่ยังดูนอบน้อมดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้แค่พริบตากัน?
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยต่อ
“ต่อไปหากนางมาก็ไม่ต้องเปิดประตูแล้ว”
ซื่อจิงตอบรับอย่างทันที
“ขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
แต่ว่าก็อาจจะไม่กลับมาอีกแล้วกระมัง
นางกวาดสายตามองรอบหนึ่ง
“แล้วเสี่ยวโจวล่ะ?”
ตั้งแต่นางกลับมา ดูเหมือนจะยังไม่เห็นคนผู้นั้นเลย
จากนิสัยของเขาแล้ว เด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่จะออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย
เมื่อพูดจบข้างนอกประตูก็ปรากฏเงาร่างที่คุ้นเคย
เป็นเชียงหว่านโจวนั่นเอง
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายตกอยู่ในภวังค์
“เสี่ยวโจว?”
ฉู่หลิวเยว่เรียกขึ้น
เชียงหว่านโจวได้สติคืน พลันดึงสายตาหันมองทันที
ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าเขาตกอยู่ในภวังค์ จึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าไปไหนมา?”
“ข้ารู้สึกเบื่อนิดหน่อย ก็เลยออกไปเดินเล่นข้างนอก”
ฉู่หลิวเยว่คิดตามและคาดว่าคงจริงของเขา
ตั้งแต่พวกเขามาถึงที่นี่ ก็ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย
“ตอนนั้นเจ้าบอกว่าปวดหัว ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือ”
เชียงหว่านโจวพยักหน้า
“ดีขึ้นมากแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ระบายยิ้มบางเบา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไร พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากจนเกินไป ทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอแล้ว”
เชียงหว่านโจวพยักหน้าแล้วเข้าห้องไป พลางหยิบผ้าขี้ริ้วแล้วเริ่มทำความสะอาดไปทั่ว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากบอกว่าในนี้สะอาดมาก ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดแล้ว
แต่พอนางเห็นว่าเชียงหว่านโจวดูเหมือนจิตใจกระสับกระส่าย ก็เลยปล่อยเขาทำไปและไม่ได้พูดอันใดอีก
เขาเองก็มีวิธีจัดการของเขา
ฉู่หลิวเยว่คิดไปคิดมาก็เดินตรงไปอีกห้องหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียก
“เฉินอี เจ้ามานี่หน่อย”
…
ครู่เดียวเฉินอีก็เข้ามาหา
“นายท่านเรียกหาข้า มีอันใดหรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นกางอาณาเขตค่ายกลของตน เพื่อปิดกั้นเสียงเอาไว้ไม่ให้คนด้านนอกได้ยินบทสนทนาระหว่างสองคน ก่อนจะมาสาวเท้ามายืนข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า
“เฉินอี ข้าคงต้องไปสระอัสนีบาตเพื่อช่วยคนผู้หนึ่ง”
ดวงตาที่เล็กเรียวและเฉยเมยของเฉินอีหรี่ลงเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสอี้เจาทุกขังไว้ที่ก้นบึ้งของสระอัสนีบาต ทั้งยังมีเสินสื่อลำดับสี่ตรวจตราเข้มงวด หากจะช่วยเขาออกมา เกรงว่าจะยากยิ่งนัก เจ้าพอจะมีวิธีหรือไม่?”
เฉินอีเงียบไปครู่ใหญ่
“ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสอี้เจาแล้ว ผู้ที่สามารถพาเขามาที่นี่และจับเขาไว้ได้ ย่อมไม่อาจดูแคลน ยิ่งกว่านั้น การคุ้มกันต้องซับซ้อนมาก มิง่ายเลยที่จะช่วยเขาออกมาโดยไร้สุ้มเสียง และไม่ดึงดูดความสนใจผู้คน”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจ
“ข้ารู้ เพียงแต่ว่า…”
เพียงแต่จะให้นางมองดูอยู่เช่นนี้ นางทำไม่ได้จริงๆ
อุปนิสัยของอี้เจานั้นเย็นชาและหยิ่งยโส ในตอนแรกเขาขู่ให้นางยกเลิกพันธสัญญากับถวนจื่อ แต่หากพูดอย่างปราศจากอคติ เขาก็ดีกับถวนจื่ออย่างมาก
อีกทั้งพอหลังจากนั้นยังเริ่มรักบ้านรวมถึงอีกา[1] เห็นแก่หน้าถวนจื่อยังช่วยเหลือนางอีกไม่น้อย
บุญคุณเหล่านี้ล้วนจดจำในใจเสมอมา
ยามนี้เผ่าหงส์ทองคำพบกับความลำบาก อี้เจาต้องแลกกับอันใดไปมหาศาลเพื่อที่จะให้คนในเผ่าจำนวนมากที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง ทว่าตัวเขาเองกลับต้องมาตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นางก็ไม่สามารถงอมือนั่งดูอยู่เฉยได้
“พูดเช่นนี้แปลว่าเจ้าก็ไม่มีวิธีหรือ?”
เฉินอีส่ายหัว
“วิธียังพอมี แต่ว่าค่อนข้างลำบาก”
ตาของฉู่หลิวเยว่เป็นประกายขึ้นมาทันที “วิธีอันใด เจ้าว่ามาก่อน?”
ขอเพียงแค่มีวิธีให้ได้ลองดู ก็จะรู้ว่าได้หรือไม่ได้
เรียวคิ้วเฉินอีขยับเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า
นี่คือจุดที่ทำให้นางปวดหัวที่สุด
“ไม่เลว ตอนนั้นข้าเข้าใกล้ได้อีกหน่อยแล้ว มองเห็นผู้อาวุโสอี้เจา และก็เห็นเสินสื่อลำดับสี่ตามติด”
เฉินอีเอ่ย “อันที่จริงแล้ว ถ้าอยากแก้ปัญหานี้ มิใช่เรื่องยากนัก ขอเพียงหาตัวแทนมา อาศัยช่วงโกลาหลทำการลักนภาหวนทิวากรก็ได้แล้ว”
“เจ้าหมายถึง…”
“ขอเพียงตัวปลอมเหมือนจริงเพียงพอ แผนนี้ก็ใช้ได้ผล”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความหมายของเฉินอีได้ในทันที
ต้องกวนน้ำให้ขุ่นเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยอาศัยช่วงเวลานี้ช่วยคนออกมา แล้วก็ใช้ตัวแทนปลอมๆ
ขอเพียงหลอกตาคนพวกนั้นได้ ก็จะไม่ถูกจับได้แล้ว
นี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่ยามลงมือทำจริง กลับยากอยู่ทีเดียว
“แล้วจะไปหาตัวแทนผู้อาวุโสอี้เจาจากที่ใดกัน เขาเป็นถึงประมุขของเผ่าหงส์ทองคำเชียวนะ”
ฉู่หลิวเยว่ตกอยู่ในห้วงความคิด หัวคิ้วขมวดแน่น
ในเผ่าหงส์ทองคำ ทุกคนมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครไม่สามารถแทนที่กันได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เป็นประมุขอย่างอี้เจา
ในโลกนี้ใครเลยจะมาทำตัวเป็นเขาได้
“อันที่จริงรูปลักษณ์ภายนอกแก้ไขง่ายมาก ที่สำคัญคือบุคลิก”
เฉินอีกล่าว
“จุดเด่นสำคัญของผู้อาวุโสอี้เจาคือ เขาเป็นผู้เดียวในเผ่าหงส์ทองคำที่ตอนนี้เปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดได้ หากสามารถแบ่งเลือดลมส่วนหนึ่งได้จากร่างกายของเขาก็สามารถใช้ตัวปลอมให้เป็นตัวจริงได้”
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับแล้วถอนหายใจ
“อย่างนี้เกรงว่าจะไม่ได้ เขาถูกขังอยู่ที่นั่น ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย”
เฉินอีมองนางนิ่งๆ
“ยังมีวิธีที่สอง นั่นก็คือหาหงส์ทองคำอีกตัวที่เปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดได้”
[1] สำนวนจีนหมายถึงรักใครก็รักสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนนั้นด้วย
………………..