ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2229 เจ้าเคยเห็นมาก่อน
ตอนที่ 2229 เจ้าเคยเห็นมาก่อน
………………..
“ตัวที่สองหรือ แต่ว่าเผ่าหงส์ทองคำตอนนี้มีแค่เพียงผู้อาวุโสอี้เจา…”
ฉู่หลิวเยว่กำลังพูด แต่กลับหยุดชะงักในพลัน
นางนึกถึงคนผู้หนึ่งที่เข้าเค้าขึ้นมาได้
“เจ้าหมายถึง…ถวนจื่อ?”
เฉินอีพยักหน้า
“มีสถานะเป็นถึงนายน้อยของเผ่าหงส์ทองคำ นางเป็นคนที่เข้าเค้าที่สุด ที่สามารถเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดได้”
ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าถวนจื่ออีกแล้ว
“อาเยว่?”
ลำแสงสายหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ถวนจื่อวิ่งเข้ามาหานาง ก่อนจะยืดแขนเล็กทั้งสองข้างออกแล้วคว้าหมับสวมกอดลำคอฉู่หลิวเยว่แน่น
“อาเยว่ เช่นนี้ ขอเพียงข้าสามารถเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดได้ ก็สามารถช่วยท่านปู่เจ้าสำนักออกมาได้แล้ว ใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่อุ้มร่างเล็กนุ่มนิ่มของนางไว้ในอ้อมแขน ลูบผมที่เกล้ามวยกลมๆ ของนางอย่างเบามือ
“โดยทั่วไปแล้ว มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า…”
“เช่นนั้นก็เอาแบบนี้แหละ!”
ถวนจื่อตอบรับทันที ดวงตากลมโตเป็นประกายราวองุ่นดำ พลันกำมือเป็นกำปั้นเล็กๆ
“เยี่ยงนั้นข้าจะรีบเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดให้ไวที่สุด!”
ฉู่หลิวเยว่ใช้นิ้วดีดหน้าผากนางหนึ่งที
“เรื่องแบบนี้อย่ารีบร้อนไป อีกอย่างเจ้าเพิ่งเปิดเส้นชีพจรที่หกไป จะฟื้นฟูร่างกายตอนนี้ยังค่อนข้างยากเลย”
เหตุการณ์ในครั้งก่อนยังคงประหวั่นใจนางไม่หาย ไม่ว่าอย่างใด นางก็ไม่สามารถให้ถวนจื่อไปเสี่ยงชีวิตอีกคราได้
ริมฝีปากฉู่หลิวเยว่เม้มเข้าหากันเบาๆ
นี่เป็นการเลือกที่ยากจะตัดสินใจเหลือเกิน
นอกจากวิธีนี้แล้ว ตอนนี้นางคิดวิธีอื่นไม่ออกเลย
ทว่านางไม่กล้าเอาถวนจื่อไปเสี่ยง
“รอก่อนก็แล้วกัน” นางเอ่ย
“วันนี้ข้าไปยังเขตต้องห้ามของสระอัสนีบาต เสินสื่อลำดับสี่จะต้องตรวจตรารัดกุมมากขึ้นเป็นแน่ เว้นระยะเสียหน่อยค่อยไปจะดีกว่า อีกอย่าง รอดูว่าช่วงนี้จะคิดหาวิธีอื่นได้หรือไม่ หากไม่มีจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องยกระดับพลังเสียก่อน”
อย่างนี้ถึงจะมีโอกาสสำเร็จขึ้นมาหน่อย
นางหันไปหาเฉินอี
“เจ้ากับซื่อจิงล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ซวงซวงกับน้องแปดไม่ได้มีพื้นฐานฝึกปราณด้านจอมยุทธ์ ตอนนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว มีเพียงเสี่ยวโจว วันนี้ข้าเห็นลมปราณบนตัวเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่น้อย หากบำเพ็ญเพียรมากหน่อยก็มิใช่ว่าไปถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้”
ในร่างกายเขายังสะกดลมปราณเหมันต์ส่วนหนึ่งเอาไว้
หากกระตุ้นเอาพลังส่วนนี้มาใช้ได้เต็มที่…
เฉินอีเงยหน้ามอง
“ความหมายของนายท่านก็คือ รอให้เขาบรรลุเทพศักดิ์สิทธิ์จึงค่อยเริ่มเตรียมการใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ
“แบบนี้ย่อมดีที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะไปหาสมุนไพรที่ร้านเจินเป่าเก๋อ ดูว่าสามารถใช้ยาอายุวัฒนะช่วยเขาได้หรือไม่ เจ้าออกไปก่อนเถิด เรื่องนี้อย่าเพิ่งนำไปพูดกับน้องแปดชั่วคราว”
“ขอรับ”
เฉินอีคำนับขอตัว พร้อมปิดประตูเข้ามาให้
ถวนจื่อซบบนไหล่ของนาง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วว่า
“อาเยว่ ข้าจะต้องเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดให้ได้!”
หลังจากปลอบใจถวนจื่อแล้ว ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงออกไปข้างนอก สองเท้าเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่พักของเซียวหราน
เมื่อมาถึงลานบ้าน ก็เห็นเซียวหรานกำลังนั่งอยู่บนหลังคาบ้าน ในปากยังมีไม้จิ้มปากอยู่ก้านหนึ่ง
“เอ๊ะ นังหนูมาแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เซียวหรานจึงก้มหน้ามอง
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“ตอนแรกข้าว่าจะมาเยี่ยมเยียนสักหน่อย เพียงแต่ข้ายุ่งกับเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นมาตลอด แทบปลีกตัวมาไม่ได้ เลยเพิ่งมาได้วันนี้ ผู้อาวุโสเซียวหรานคงมิโกรธกระมัง”
เซียวหรานอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด
“ฮ่าๆ! นังหนูผู้นี้น่าสนใจจริง ขึ้นไปบนเส้นทางดวงดาว เข้าไปยังสระอัสนีบาต เรื่องเหล่านี้หากเป็นผู้อื่น ป่านนี้คงหางมิติดพื้น ต้องโอ้อวดไปทั่วทุกมุมโลกแล้ว พอเป็นเจ้ากลับกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย เหอะๆ หากใครมาได้ยินเข้ามิโกรธจนเกือบตายหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบ
“ท่านรู้เรื่องหมดแล้วหรือ?”
“ยามนี้เกรงว่าคนของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์คงล้วนรู้กันหมดแล้วกระมัง” เซียวหรานพูดไปก็มองประเมินนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าไปก้นบึ้งของสระอัสนีบาตมาจริงๆ หรือ?”
ริมฝีปากฉู่หลิวเยว่หยักยกขึ้น แฝงกลิ่นอายความขี้เล่น
“นับว่าใช่ แต่ ก็เพราะเหตุนี้ ข้าเกือบจะผิดต่อเสินสื่อลำดับสี่แล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องดีอันใด”
“ไม่นับได้อย่างใด?”
เซียวหรานยืดตัวกระโดดลงมา ก่อนจะพูดช้าๆ อย่างสบายอารมณ์ว่า
“จากนี้ไป เจ้าจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงของเสินสื่อลำดับสี่แล้ว! ด้วยนิสัยของท่าน เดาว่าคงจะชอบเจ้าไม่น้อย ถึงอย่างใด หลายปีมานี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถไปถึงก้นบึงของสระอัสนีบาตได้”
คิ้วฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้นเบาๆ
เช่นนี้จะช่วยลดความสนใจของกลุ่มคนและช่วยลดปัญหาได้มากทีเดียว
นางไปถึงที่นั่นได้ เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง
“ข้าไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ มิควรค่าให้เสินสื่อลำดับสี่กล่าวถึงเป็นพิเศษอันใดหรอก” ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะตนเอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวหรานแข็งค้าง
นั่นก็จริง…
เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
“กล่าวเช่นนี้ก็เสียดายยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างใด ภายหน้าเจ้าอยู่ที่พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ก็จะดีขึ้นมาก”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นักและถามว่า
“ข้าเห็นท่านอยู่บนหลังคาเมื่อครู่เหมือนกับกำลังมองอันใดอยู่หรือ?”
เซียวหรานไม่ปิดบัง และตอบตามตรงว่า
“ใช่แล้ว กำลังมองเส้นทางดวงดาวน่ะ”
“ท่านมองเส้นทางดวงดาวเหตุใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่งุนงงไปชั่วครู่
“เหอะ บนเส้นทางดวงดาวมีสิ่งใดข้าก็มองสิ่งนั้นแหละ!”
ฉู่หลิวเยว่ถึงจะเพิ่งนึกออกว่าเขาดูเหมือนจะเป็นปรมาจารย์เช่นกัน
“ท่านกำลังทำความเข้าใจค่ายกลบนเส้นทางดวงดาวหรือ?”
เซียวหรานรู้สึกปวดหัวไม่สิ้นสุด
“ใช่แล้ว เจ้าคงไม่รู้ว่าส่วนสุดท้ายของเส้นทางดวงดาวนั่นล้วนคืออักษรเทวา แต่ละตัวยากจะตายชัก!”
เขาเดินไปด้านข้างแล้วนั่งบนม้าหินในลานบ้าน
“สิ่งแบบนี้ต้องอาศัยพื้นฐานการฝึกปราณ หากไม่มีความเข้าใจ ต่อให้มองไปอีกหนึ่งร้อยปี สองร้อยปีหรือนานกว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกับมู่หย่าเฟิงที่ยอมถอยกลับเมื่อก่อนหน้านี้ ชิ ทุกคนคิดว่านางใกล้สำเร็จแล้ว แต่ความจริง มันยังเร็วไปด้วยซ้ำ!”
แผนภาพค่ายกลอันลึกลับซับซ้อนหาใดเปรียบ ปรากฏขึ้นในสมองของฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว
นางพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ
“สิ่งนั้นยากมากเหลือเกิน”
เซียวหรานหยุดชะงักการกระทำ
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่ผงะ
เมื่อครู่ไม่ทันระวัง พลั้งปากหลุดพูดไปเสียได้!
“เจ้าเคยเห็นค่ายกลอสูรฟ้าหรือ?”
เซียวหรานลุกขึ้นยืนตรง ดวงตาจ้องมองมาที่นางเขม็ง
บรรยากาศดูเหมือนจะถูกแช่แข็งขึ้นมาในทันที
“ข้าหมายความว่า เป็นถึงค่ายกลในส่วนสุดท้ายของเส้นทางดวงดาว ย่อมต้องยากยิ่งเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าแต่ก่อนท่านเคยบอกว่าอักษรเทวาล้วนยากหรือ?”
เซียวหรานไม่ตอบคำ เพียงแค่หรี่ตามอง
พักหนึ่งเขาถึงค่อยเปิดปากชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าเคยเห็นค่ายกลอสูรฟ้า”
มิใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นการบอกเล่า!
………………..