ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2231 อสูรศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ตำหนัก
เซียวหรานตะลึงงันไปชั่วครู่
“หงส์ทองคำ? ไม่เคยเจอ เจ้าถามเรื่องนี้เหตุใดหรือ”
แววตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกายผิดหวัง
“ไม่มีอันใด เพียงแค่สงสัยนิดหน่อย”
ตั้งแต่เห็นจิ้นอวิ๋นไหลถือขนหงส์ทองคำอยู่ตรงประตูสวรรค์ นางก็รู้สึกว่าเผ่าหงส์ทองคำต้องมีความข้องเกี่ยวบางอย่างที่เชื่อมกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
หลังพบว่าอี้เจาถูกคุมขังอยู่ในก้นบึ้งของสระอัสนีบาต นางก็ยิ่งทวีความมั่นใจถึงข้อคาดเดาในหัวของตน
เซียวหรานนับว่าเป็นคนเก่าแก่ของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานพอดู ทั้งยังรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย
ฉู่หลิวเยว่จึงคิดสอบถามเสียตรงนี้เพื่อดูว่าพอหาเบาะแสได้บ้างหรือไม่
ทว่าดูเหมือนหนทางนี้จะไม่ราบรื่นนัก
เซียวหรานจับจ้องนางเขม็ง สีหน้าถมึงทึงพลันขึ้นมาทันใด
“ต่อจากนี้เวลาอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็เอ่ยถึงหงส์ทองคำให้มันน้อยหน่อยจะดีกว่า”
ฉู่หลิวเยว่ย่นคิ้ว “เพราะอันใดกัน”
“เพราะเผ่าหงส์ทองคำก่อกรรมทำเข็ญไว้”
เซียวหรานเชิดปลายคาง หันมองตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไป แล้วกล่าวว่า
“ไม่กี่หมื่นปีก่อน บรรพบุรุษของเผ่าหงส์ทองคำเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ตำหนักของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตำแหน่งสูงส่ง ได้รับความเคารพยกย่องอย่างมาก ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ภายหลังมันถึงทรยศแล้วหลบหนีไป ทั้งยังเผาตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์จนวอดวายไปครึ่งหลัง! และในเหตุการณ์ครานั้น ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เกิดความเสียหายใหญ่หลวง เทพหลายองค์ดับสูญไปในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างตกอยู่ในความโกลาหล”
“ใช้เวลาเกือบหมื่นปีตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ถึงฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง ทั้งยังเลือกเทพองค์ใหม่เสร็จสรรพ แรงกระเพื่อมใต้น้ำทุกอย่างค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เผ่าหงส์ทองคำก็กลายเป็นเผ่ามีมลทิน คนของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างเข้าใจโดยทั่วกันและไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้อีก”
“เรื่องที่พูดกันวันนี้ ที่เจ้าถามข้าก็ให้มันแล้วไป แต่หากมีคนที่ผูกใจเจ็บอยู่มาได้ยินเข้า เกรงว่าจะเลี่ยงปัญหามากมายพวกนั้นไม่ได้แน่”
ฉู่หลิวเยว่ฟังจบก็ตกตะลึงไปพักใหญ่
“…ที่แท้ด้านในนี้ก็มีอดีตเช่นนี้อยู่ด้วย?”
เซียวหรานพยักหน้า
“ใช่แล้ว และเพราะเหตุนี้เอง แม้หงส์ทองคำจะเป็นหนึ่งในสองอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล แต่ในที่แห่งนี้กลับเป็นที่จงเกลียดจงชังอย่างมาก หลังจากนี้เจ้าก็อย่าพูดถึงบ่อยๆ อีก”
ฉู่หลิวเยว่หลับตา ก่อนจะเหยียดมุมปาก
ไม่เอ่ยถึงอย่างนั้นหรือ
นางกับถวนจื่อมีพันธะผูกพันต่อกัน ทั้งยังวางแผนจะช่วยเหลืออี้เจาออกมาด้วย
ไม่ว่าอย่างใดนางก็หนีปัญหานี้ไม่พ้นอยู่แล้ว
เซียวหรานเห็นสีหน้านางดูประหลาดพิกลไม่น้อยจึงอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอันใดไป”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ไม่มีอันใด แค่สับสนกับเรื่องพวกนี้นิดหน่อย…ขอบคุณผู้อาวุโสเซียวหรานที่ช่วยชี้แจงให้กระจ่าง เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เซียวหรานเห็นว่าสภาพจิตใจของนางไม่สู้ดีนัก จึงไม่ได้รั้งตัวไว้
ฉู่หลิวเยว่จึงหมุนกายจากไป
…
ระหว่างเดินทางกลับ ฉู่หลิวเยว่ก้าวเดินเชื่องช้าอย่างมาก
นางเดินไปพลางส่งกระแสจิตหาถวนจื่อ
“ถวนจื่อ เจ้ารู้เรื่องที่ผู้อาวุโสเซียวหรานพูดเมื่อครู่หรือไม่”
ถวนจื่อรู้สึกงงงวยอย่างมาก “ไม่รู้ล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่นิ่วหน้าน้อยๆ
อีกทั้งตัวถวนจื่อมีสถานะเป็นนายน้อย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ถึงเรื่องนี้
แต่คำพูดของเซียวหรานเองก็ไม่เหมือนคำลวง
เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกเรื่องพวกนี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดถึงได้มีคนกล้าปล่อยข่าวลือพวกนี้เกี่ยวกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์และบรรดาเทพทั้งหลายในคราวนั้นกันเล่า?
ฉู่หลิวเยว่จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงเคยสนทนากับบรรพบุรุษท่านนั้นที่ทิ้งร่องรอยลมปราณเอาไว้ด้วยครั้งหนึ่ง
หากคำพูดทั้งหมดของเซียวหรานเป็นความจริง เช่นนั้น…แท้จริงแล้วคราวนั้นคนผู้นั้นก็สิ้นลมหายใจอยู่ที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์?
อีกอย่าง ไหนจะตัวของโหมวเจินด้วย
ตอนที่เขาพูดถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ทองคำ สีหน้าก็ดูกระอักกระอ่วนราวกับลังเลที่จะพูด
หรือว่า…เป็นเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจมดิ่งสู่บ่อโคลน ดิ้นรนอย่างใดก็มิอาจสลัดหลุด
ปริศนาชวนกังขามากมายก่ายกองทยอยถาโถมเข้ามาทับถมกันจนนางยากจะแยกแยะออก
“หรือขนทองคำของบรรพบุรุษเส้นนั้นจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากปีนั้น?”
นางคาดเดาอย่างมิใคร่จะแน่ใจนัก
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะสามารถอธิบายเรื่องราวได้อย่างกระจ่างชัด
ปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ แล้วเหตุใดบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ทองคำถึงต้องทอดทิ้งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาขึ้นไปมองตำหนักที่ตั้งตระหง่านเป็นสง่า
นางอยากรีบกระโจนเข้าไปสืบเสาะเรื่องราวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เสียอีก!
“อาเยว่ พวกเขาบอกว่าข้าคือเผ่ามีมลทิน เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็ออกไปไม่ได้แล้วหรือ?” ถวนจื่อถามเสียงเบา
ฉู่หลิวเยว่พรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา
ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกดีใจแล้วที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ถวนจื่อออกมา
มิเช่นนั้นก็อาจสร้างปัญหาให้อยู่ไม่น้อยจริงๆ
“พวกซ่งชิงต่างก็รู้ว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรในพันธะของข้า ย่อมปิดเรื่องนี้ไม่มิดอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าบรรดาเทพของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะมีท่าทีอย่างใดกับเรื่องนี้”
ถวนจื่อเศร้าสร้อยอย่างมาก
“ข้ายังไม่ทันทำอันใดเลยนะ เหตุใดถึงมีมลทินได้เล่า อีกอย่าง หากท่านบรรพบุรุษทอดทิ้งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไปจริง นั่นต้องเป็นเพราะตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มีปัญหาแน่!”
ความคิดของฉู่หลิวเยว่พลันแล่นพล่าน
ตอนที่อยู่ทะเลทรายจันทราสีชาด หลังจากจื่อเหยี่ยนผู้นั้นจับตัวถวนจื่อไปแล้ว ก็มิได้ใช้วิธีการลงโทษธรรมดาแต่อย่างใด กลับกดดันใช้วิธีการบังคับนางให้เปิดเส้นชีพจร
ราวกับว่า…รีบร้อนอยากขัดขวางไม่ให้ถวนจื่อบุกทะลวงได้อย่างใดอย่างนั้น
หากนายท่านของจื่อเหยี่ยนผู้นั้นเป็นคนของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ท่าทีเช่นนี้ดูแล้วก็ไม่เหมือนต้องการจะลงโทษคนเท่าไรหนา…
“สรุปแล้วระยะนี้เจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมรอไปก่อน ถ้าไม่มีเหตุการณ์จำเป็นจริงๆ ไม่ต้องออกมา”
เรื่องปีนั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ถกเถียงเรื่องพวกนั้นไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่เกิดประโยชน์อันใด
ถวนจื่อโอดครวญออกมาประโยคหนึ่ง
“อือ เช่นนั้นข้าจะเชื่อฟังคำอาเยว่บอก”
…
อีกฟากหนึ่ง มู่ตงโหย่วก็เดินทางกลับถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
บุรุษผู้นั้นยังคงยืนมือไพล่หลังอย่างเงียบงันเหมือนเคยอยู่เบื้องหน้าจัตุรัสหยกดำ
มู่ตงโหย่วยืนนิ่งห่างจากด้านหลังของเขาไปไม่กี่ก้าว จากนั้นลูกกลมสีทองกึ่งโปร่งใสขนาดเท่ากำหมัดพลันปรากฏบนสองมือของเขา
ด้านในนั้นมีของเหลวทอประกายแวววาวกำลังลอยละล่องพร้อมเรืองแสงจางๆ
“ของอยู่ที่นี่แล้ว”
เมื่อยื่นมือไปทางบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า ลูกกลมสีทองอร่ามก็ลอยออกไปจากมือของมู่ตงโหย่วมาอยู่ด้านหน้าของเขาในชั่วพริบตา
พรึ่บ!
เปลวเพลิงสีทองด้านบนนั้นยิ่งลุกโหมทวีความโชติช่วงมากกว่าเก่า
ยามเห็นภาพฉากนี้ บุรุษผู้นั้นกลับส่ายศีรษะ
“แม้จะเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดแล้ว แต่พลังแห่งสายเลือดจากร่างเดิมของมันยังคงอ่อนด้อยอยู่หลายส่วน”
มู่ตงโหย่วอับจนปัญญาไม่น้อย
“แต่เขาเป็นถึงประมุข นี่เป็นทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วในตอนนี้”
“ช่างเถอะ ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน”
บุรุษผู้นั้นส่ายศีรษะ กล่าวถามว่า
“ระยะนี้สถานการณ์ฝั่งสระอัสนีบาตเป็นอย่างใดบ้าง”
มู่ตงโหย่วเอ่ยตอบ
“ทุกอย่างปกติดี เพียงแต่…เมื่อวานมีคนบุกรุกเข้าไปในเขตต้องห้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ”
บุรุษผู้นั้นหมุนกายกลับมา
“ซั่งกวนเยว่?”
มู่ตงโหย่วมิได้ประหลาดใจว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ อย่างใดเสียตอนนี้คนของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ล้วนรู้กันทั่วถ้วนแล้วว่านางบุกรุกเข้าไปในก้นบึ้งที่ลึกสุดของสระอัสนีบาต
“ถูกต้อง แต่ท่านโปรดวางใจ ข้าไปไล่นางได้ทันเวลา ทั้งยังเตือนนางด้วยว่าภายหลังห้ามเฉียดเข้าไปใกล้อีกเป็นอันขาด”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง ถามว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างใดว่านางไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไป”
มู่ตงโหย่วถึงกับตื่นตะลึง
………………..