ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2237 ไปบอกนาง
เมื่อซูจิ้งได้ยินข้อเสนอนี้ ปฏิกิริยาแรกคือทั้งขบขันและประหลาดใจ
คงมิใช่ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นี้สิ้นสติไปแล้วกระมัง ถึงได้คิดเอามหาปรมาจารย์โอสถมาท้าประลองเซียนหมอระดับปรมาจารย์
นางคิดว่าโอสถคงปราณตั้งต้นจะหลอมออกมาตอนไหนก็ได้ตามใจหรือไร?
“เจ้าแน่ใจหรือ”
นางจ้องมองฉู่หลิวเยว่พลางเอ่ยออกมาทีละคำ
“โอกาสมีแค่ครั้งเดียว หากครั้งนี้เจ้าแพ้ ต่อไปก็ต้องยึดมั่นในคำสัญญาอย่างเคร่งครัด ไม่เข้ามาในเทือกเขาโอสถอีก เจ้าทำได้หรือ”
“คนเช่นข้าพูดคำไหนคำนั้น”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มบาง
“อย่างใดเสียเทือกเขาโอสถแห่งนี้ก็เป็นอาณาเขตของเสินสื่อลำดับแปด หากวันนี้ข้าแพ้ วันหน้าก็มิอาจมาที่นี่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไร?”
คำพูดนี้นับว่าเป็นความจริงโดยแท้
ซูจิ้งมีอำนาจจัดการทั่วทั้งเทือกเขาโอสถ ไม่ว่าผู้ใดเข้าออกที่แห่งนี้ เก็บสมุนไพรประเภทใดไป นางล้วนรู้แจ่มแจ้งทั้งสิ้น
ข้อเสนอของฉู่หลิวเยว่ทำให้นางใจเต้นไม่น้อย
หากใช้การพนันครานี้แลกกับความสงบไปตลอดก็ย่อมนับว่าคุ้มค่า
ไม่ว่าจะเป็นฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ตรงหน้า หรือน้องแปดเมื่อครานั้น นางล้วนไม่ชอบใจทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รู้ว่าฉู่หลิวเยว่ได้รับความโปรดปรานจากร้านเจินเป่าเก๋อ ทั้งยังคอยสนับสนุนนางอย่างเต็มใจความรู้สึกไม่ชอบใจพวกนี้ก็ยิ่งแฝงด้วยจิตปริปักษ์จางๆ ห้อยตามไปด้วย
นางไม่มีปัญญาล่วงเกินร้านเจินเป่าเก๋อ แต่ในเมื่อตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เอาตัวเองมาถวายถึงที่ จะมัวลังเลไปอยู่เหตุใดกัน?
เหลียงเหอที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นกลับนิ่วหน้า
หลังจากสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ เขาก็เอ่ยโน้มน้าวเสียงแผ่ว
“ขอบคุณความหวังดีของคุณชายเหลียง แต่ข้าไม่ต้องการ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อเก็บกระวานเร้นมังกรกลับไป”
หากไม่ให้เก็บกระวานเร้นมังกร เช่นนั้นนางก็จะหลอมโอสถคงปราณตั้งต้นไปจากที่นี่เลยแล้วกัน
เหลียงเหอราวกับมีอันใดจะพูดแต่พูดไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
ตัวเขานั้นดูออกว่าคนกลุ่มนี้ล้วนมีนิสัยเหมือนกันหมด เป็นคนจำพวกที่ความหยิ่งยโสฝังลึกลงไปในกระดูก
พวกเขามาถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ ย่อมต้องมีพรสวรรค์โดดเด่นเหนือหมู่คน ข้อนี้ไม่น่าสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่สิ่งสำคัญก็คือ… พวกเขาต่างก็ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น!
เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็จะไร้ซึ่งความได้เปรียบใดยามอยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงยอมเลิกราอ่อนข้อไปตั้งนานแล้ว แต่มีเพียงคนกลุ่มนี้…
เหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบใดกันแน่
คำพูดของเชียงหว่านโจวในวันนั้นสร้างผลกระทบต่อเขาได้ชะงัด ถึงขั้นที่ยามเขากำลังเผชิญหน้ากับฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ยังรู้สึกว่านางหยิ่งผยองเกินไปมาก
เป็นพวกที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาโดยแท้
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงคอไป
…
ข่าวเรื่องฉู่หลิวเยว่กับเหลียงเหอจะแข่งกันหลอมยาอายุวัฒนะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
คนจำนวนมากต่างแห่แหนกันมาจากที่อื่นด้วยอยากมาดูฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจ
“เหลียงเหอเป็นเซียนหมอระดับปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งเซียนหมอระดับปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงมานานนมยังไม่กล้าลองดีกับทักษะของเขา ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นคิดอันใดอยู่กันแน่ถึงได้ไปท้าประลองกับเขา”
“ข้าน่ะได้ยินมาว่าเรื่องนี้แทบไม่เกี่ยวอันใดกับเหลียงเหอเลย เป็นซั่งกวนเยว่ที่อยากเก็บกระวานเร้นมังกร แต่เสินสื่อลำดับแปดคัดค้าน ซั่งกวนเยว่จึงยื่นข้อเสนอให้หลอมโอสถคงปราณตั้งต้นเสียที่นี่…”
“โอสถคงปราณตั้งต้น? ดูเหมือนว่าแม้แต่เหลียงเหอยังไม่เคยหลอมได้สำเร็จเลยกระมัง? หรือว่าซั่งกวนเยว่เองก็เป็นเซียนหมอระดับปรมาจารย์ถึงได้กล้าทำเช่นนี้?”
“แล้วนางไปเอาความกล้ามาจากไหนกันละนี่?”
“พวกข้าก็ไม่รู้ อีกอย่างได้ยินมาว่าถ้าครั้งนี้นางทำไม่สำเร็จ ต่อไปก็มิอาจมาที่เทือกเขาโอสถได้อีก เสินสื่อลำดับแปดเองก็ตอบตกลงแล้ว ข้าว่ารอบนี้พอมีอันใดให้น่าดูหน่อย…”
ฉู่หลิวเยว่กับเหลียงเหอกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่บนเทือกเขาราบเรียบเสมอกันลูกหนึ่ง
ฟากซูจิ้งนั้นยืนอยู่ด้านข้างพลางกวาดสายตามองทั่วร่างของฉู่หลิวเยว่
“ข้าจะพูดอีกครั้ง โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ทันทีที่ล้มเหลว การประลองจะจบลงทันที”
คำพูดนี้บ่งบอกให้เห็นชัดเจนว่านางมั่นใจมากว่าฉู่หลิวเยว่จะพ่ายแพ้การประลองครานี้
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกเป็นโค้งขึ้น
“ท่านเสินสื่อลำดับแปด แม้ข้าจะยังไม่ใช่เซียนหมอระดับปรมาจารย์ แต่หูและความจำยังดีอยู่ คำพูดบางอย่างท่านไม่ต้องย้ำก็ได้”
สีหน้าของซูจิ้งพลันคล้ำลงจางๆ อยู่หลายส่วน
แต่ในตอนนั้นบริเวณโดยรอบมีคนจำนวนมากเริ่มห้อมล้อมเข้ามาแล้ว นางมิอาจระเบิดโทสะออกมา จึงทำได้แค่แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจก่อนชักสายตากลับไป
เหลียงเหอมองมาทางนี้แวบหนึ่งพลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา จากนั้นก็หยิบหม้อต้มโอสถสัมฤทธิ์ใบหนึ่งออกมา
หม้อต้มโอสถสัมฤทธิ์ใบนั้นมีสามขาสองหู รอบตัวหม้อสลักลวดลายเมฆมงคลและสัตว์อสูรในตำนานเอาไว้ ให้ความรู้สึกลึกล้ำและน่าเกรงขาม
นี่ก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ
แม้จะสามารถพบเจออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อได้บ่อย แต่อาวุธระดับนี้ประเภทหม้อต้มโอสถกลับหาดูได้น้อยมาก
เหลียงเหอเดิมทีก็มีพรสวรรค์โดดเด่นอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมีหม้อต้มโอสถคอยทุ่นแรงอีก อัตราสำเร็จย่อมเพิ่มทวีคูณอย่างมาก
“น้อยมากที่เหลียงเหอจะใช้หม้อต้มโอสถใบนี้ ดูเหมือนรอบนี้เขาคิดจะเอาจริงแล้ว!”
“เห็นว่าโอสถคงปราณตั้งต้นหลอมได้ยากมาก ดูท่าตัวเหลียงเหอเองยังไม่ค่อยมั่นใจเลยกระมัง?”
“ข้านี่อยากดูเหลือเกินว่าซั่งกวนเยว่จะรับมืออย่างใด แค่ระดับของนางก็ไม่พอ…”
เสียงกระซิบกระซาบจากทั่วทิศทางพลันสลายหายไปทันควัน
กระทั่งตัวซูจิ้งเองยังตาค้าง สีหน้าสับสนงงงวยยากจะบรรยาย
ผ่านไปสักพัก ถึงมีคนเอ่ยขึ้นมาเสียงเบาว่า
“นั่นมัน… สมบัติศักดิ์สิทธิ์?”
“น่าจะใช่นะ? ได้ยินมาว่านางมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองมากกว่าหนึ่งชิ้นด้วย…“
”ที่แท้ก็มีไพ่ลับใบนี้อยู่นี่เอง มิน่าเล่านางถึงได้ใจกล้ามากขนาดนี้ แต่ว่าต่อให้มีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าคงไม่ได้ช่วยให้มหาปรมาจารย์โอสถหลอมยาอายุวัฒนะระดับปรมาจารย์เซียนหมอออกมาได้หรอกกระมัง?”
“แต่ก็ไม่ได้แพ้หมดท่าขนาดนั้นหรือเปล่า?”
เสียงหัวเราะเฮฮาหลายสายดังลอยมาจากบรรดากลุ่มคน
…
เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าฉู่หลิวเยว่จะชนะอยู่แล้ว
แต่เดิมทีตัวฉู่หลิวเยว่เองก็หาได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ไม่
ไวเท่าความคิดนาง ภายในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์พลันมีเปลวเพลิงสีใสลุกโชนขึ้น!
จากนั้น นางก็เริ่มทยอยใส่สมุนไพรลงไปในหม้อน้ำตามลำดับ
การเคลื่อนไหวสามารถเรียกได้ว่า คล่องแคล่วดุจเมฆเคลื่อน พลิ้วไหวดุจสายน้ำ
เหลียงเหอที่อยู่ตรงข้ามเห็นดังนั้นก็ไม่คิดลังเลอีก รีบลงมือตามไปติดๆ!
…
ภายในโถงตำหนักใหญ่ หรงซิวนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน มือหนึ่งกำลังเขียนอันใดบางอย่างลงบนหน้ากระดาษ
ส่วนอวี๋มั่วกำลังคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
“…เรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณนี้ขอรับ ตอนนี้คนในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากต่างรู้เรื่องแล้ว ยังมีคนอีกไม่น้อยมุ่งหน้าไปร่วมชมความบันเทิงด้วย”
มือของหรงซิวชะงัก
อวี๋มั่วลอบปาดเหงื่ออยู่ในใจ
ท่านผู้นั้นเพิ่งบุกทะลวงสู่มหาปรมาจารย์โอสถได้ไม่นาน ตอนนี้ก็ดันอยากไปลองหลอมยาอายุวัฒนะระดับปรมาจารย์เซียนหมอแล้ว นั่นมันบอกถึงความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนเลยไม่ใช่หรือไร
ไม่รู้จริงๆ ว่าซูจิ้งผู้นั้นคิดอันใดอยู่กันแน่ กับอีแค่กระวานเร้นมังกรไม่กี่ต้นก็ไม่ยอมให้!
นี่ไม่ใช่ว่ากำลังรนหาเรื่องใส่ตัวเองอยู่หรอกหรือ
เมื่อเห็นว่าหรงซิวไม่ได้ส่งเสียงตอบอันใดมา อวี๋มั่วก็ตวัดสายตามองอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามออกไป
“นายท่าน มิเช่นนั้นข้าน้อยให้คนไปเก็บกระวานเร้นมังกรส่งไปดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง”
หรงซิวลงมือเขียนต่อ
นี่อาจสายไปแล้วก็ได้ ส่งไปอีกรอบก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา
อวี๋มั่วเงียบเสียงลงในทันใด
ภายในโถงตำหนักใหญ่ นอกจากเสียงพู่กันขีดเขียนลงบนกระดาษแล้วก็ไม่มีสุ้มเสียงอื่นใดอีก
อวี๋มั่วพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอยู่หลายส่วนโดยไม่ทราบสาเหตุ
เขาเหลือบมองขึ้นไปอย่างเงียบเชียบ
นี่นายท่าน… กำลังโกรธอยู่หรือ?
นั่นก็เข้าใจได้ ซูจิ้งทำเรื่องนี้แบบล้ำเส้นเกินไปมากจริงๆ
เขาครุ่นคิดไปมา ก่อนเอ่ยปากถามไปว่า
“นายท่าน มิเช่นนั้น… ให้ข้าน้อยไปคุยกับตัวซูจิ้ง?”
ทันใดนั้น หรงซิวก็หยุดมือที่เขียนพู่กัน
เขาเหลือบมองมา ในนัยน์ตาหงส์แฝงด้วยแววเย็นเยียบลึกล้ำ
“เจ้าไปบอกนาง ถ้าไม่อยากเป็นเสินสื่อลำดับแปดแล้ว มีคนมาแทนที่นางได้”