ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2244 แตะขีดจำกัดของท่านผู้นั้น
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ซั่งกวนจิ้ง “???”
มุมปากของน้องแปดกระตุกกึก ก่อนจะก้าวถอยหลังไปสองก้าว
“พี่สี่ นี่ท่านหมายความว่าอันใดกัน!? เหตุใดมาตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์รอบนี้ถึงได้เล่นพิเรนทร์แบบนี้?”
ใบหน้าของซื่อจิงพลันดำคล้ำ แน่นอนว่าเดิมเขาก็เป็นคนผิวคล้ำอยู่แล้ว ครานี้จึงมองไม่เห็นถึงความแตกต่างอันใด
“น้องแปดอย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย พี่สี่เจ้าไม่ได้ทำอันใดเสียหน่อย”
น้องแปดชี้ไปทางทัณฑ์สวรรค์ที่หักคามือเขา ในตอนนั้นเองแสงสีเงินชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลายอันพลันซึมซับเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างเงียบเชียบ
“แล้วนั่นคืออันใด”
ซื่อจิงกระแอมไอคราหนึ่ง
“นี่… นี่คือทัณฑ์สวรรค์ที่เมื่อครู่ข้าสะบัดออกไม่ทันน่ะซี ก่อนหน้านี้ข้าไปบ่ออัสนีบาตมาไม่ใช่หรือไร จากนั้นก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างในไปรอบหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุใดทัณฑ์สวรรค์พวกนี้ดูเหมือนจะสลัดไม่หลุด เอาแต่คอยตามข้าอยู่นั่น”
หากมิใช่เพราะเชียงหว่านโจวเตรียมจะบุกทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงได้ดึงดูดทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นมา เกรงว่าเขาคงติดอยู่ในนั้นอีกนานแน่
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยังมิวายพาทัณฑ์สวรรค์หลายเส้นกลับมาด้วย
ระหว่างทางเขาก็วิ่งไปพลาง คอยจัดการไปพลาง สุดท้ายก็ยังคงติดมาเส้นหนึ่งอยู่ดี
นี่จึงนำมาสู่สถานการณ์ในตอนนี้นั่นเอง
น้องแปดส่งเสียงชิคราหนึ่ง
“พี่สี่ ท่านก็ทำไปได้! ปกติไม่เคยจะเห็นแม่นางบ้านไหนมาไล่ตามท่าน กลายเป็นทัณฑ์สวรรค์นี่ที่ติดท่านเสียอย่างนั้น?”
ซื่อจิงปวดศีรษะขึ้นมาอยู่หน่อย
ซื่อจิงผงกศีรษะรับ “ใช่ขอรับ! นายท่าน คำพูดข้าเป็นจริงอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว!”
เขาซื่อสัตย์มาโดยตลอด จะอย่างใดก็ไม่กล้าพูดโป้ปดต่อหน้าฉู่หลิวเยว่
“ข้ารู้”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกน้อยๆ
“ข้าก็แค่รู้สึกว่า… น่าแปลกนิดหน่อย”
“แม่หนูเยว่เออร์ นี่คือน่าแปลก ‘นิดหน่อย’ รึ!?”
ซั่งกวนจิ้งพลันรู้สึกว่านางดูท่าไม่ดีเสียแล้ว
เหตุใดแต่ละคนถึงได้ดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์กันขนาดนั้นเล่า
ขอร้องล่ะ นี่คือทัณฑ์สวรรค์ตามมาก่อนเอง ทั้งยังมันไม่คิดจะโจมตีอันใดเลยด้วยนะ!
หลายปีมานี้เขายังไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เหตุใดคนพวกนี้ถึงได้สงบนิ่งกันปานนี้
ฉู่หลิวเยว่มองเขาแวบหนึ่งพลางเลิกคิ้วน้อยๆ
หากองค์ไท่จู่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางในส่วนลึกที่สุดของบ่ออัสนีบาตแล้วละก็ เกรงว่าคงจะตกใจจะหมดสติไปแน่…
ครั้นคิดว่าองค์ไท่จู่ของตนเองก็อายุปูนนี้แล้ว คาดว่าไม่น่าจะทนรับแรงกระตุ้นนี้ได้ ฉู่หลิวเยว่จึงตัดสินใจว่าตอนนี้ยังไม่เล่าจะดีกว่า
“ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ค่อนข้างแตกต่างจากอาณาจักรเสิ่นซวี่ ต่อให้ประหลาด พวกเราก็ต้องรับให้ได้มิใช่หรือ”
ซั่งกวนจิ้งสะอึก เมื่อครุ่นคิดตามอย่างรอบคอบ ก็รู้สึกว่ามีเค้าลางของเหตุผลอยู่มากทีเดียว
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง
“หลังท่านมาถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ออกไปดูข้างนอกเลยมิใช่หรือ ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้… มีสถานที่ที่ค่อนข้างแปลกใหม่อยู่ไม่น้อยจริงๆ”
นี่คือเรื่องจริง
ตั้งแต่ตัวอักษรเขียนมือเหล่านั้นส่องสว่างอยู่เหนือฟากฟ้า เชิญให้ผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้ามาเยือน ทุกอย่างก็ล้วนไม่เหมือนเดิม
อย่างใดเสียก่อนหน้านี้พวกเขาก็เผชิญเรื่องที่เหนือการรับรู้และความคาดหมายมาแล้วไม่น้อยไม่ใช่หรือไรกัน?
เขากวาดตามองสำรวจซื่อจิงรอบหนึ่ง
“เจ้า… ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยหรือ?”
ซื่อจิงหัวเราะแหยๆ
“ไม่บาดเจ็บเลย! อีกทั้งพลังยังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยด้วย!”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแกมหัวเราะว่า
“องค์ไท่จู่อาจยังไม่ทราบ บ่ออัสนีบาตแห่งนั้นสามารถตีหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ คนจำนวนมากในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มุ่งหน้าไปฝึกตนที่บ่ออัสนีบาตเพื่อพัฒนาทักษะของตัวเองให้สูงขึ้น”
ซั่งกวนจิ้งพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
ดูท่าเขาจะหมกตัวอยู่แต่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ต้องคอยออกไปข้างนอกให้บ่อยขึ้นเสียแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองซื่อจิงอีกรอบหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกกับว่ามีอันใดบางอย่างผ่านวาบไป
“ตูม ตูม ตูม” !
เสียงระเบิดกึกก้องทยอยแว่วดังมาจากบนผืนฟ้า
กระทั่งตัวฉู่หลิวเยว่ยามได้เห็นภาพฉากเช่นนี้ ในใจเองก็ค่อนข้างรู้สึกอัศจรรย์นัก
ยามตัวนางเองบุกทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ เสียงการเคลื่อนไหวก็ใหญ่โตมากเช่นกัน ส่วนของเชียงหว่านโจวกลับมิได้อ่อนด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร
ไอเย็นที่สะสมอยู่ภายในร่างของเขามหาศาลจนน่าตื่นตะลึงโดยแท้
เฉินอีเองก็เดินออกมาจากห้องเช่นกัน
คราแรกเขาหันไปมองเกล็ดน้ำแข็งที่จับตัวแข็งอยู่บนบานประตูและเสาระเบียง จากนั้นก็เหลือบสายตาขึ้นไปมองบนฟ้า
ในที่สุด ทัณฑ์สวรรค์ทั้งหมดก็ค่อยๆ มอดสลายไป ก่อนจะซึมซาบลงไปในร่างของเชียงหว่านโจวจนหมดสิ้น
รูปร่างของเขาค่อยๆ มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
…
ณ ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ซูจิ้งเดินมุ่งไปด้านหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียวและฝีเท้าที่อ่อนระโหยโรยแรง
สองมือของนางที่อยู่ภายใต้ชายเสื้อคลุมกำเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นกำปั้น นางก้มศีรษะน้อยๆ ในนัยน์ตากลับว่างเปล่าไร้แวว ล่องลอยไร้จุดหมาย
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปเมื่อครู่ยังคงย้อนกลับมาฉายในหัวนางอย่างต่อเนื่อง
“กฎของใคร?”
“เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลยอดเขาโอสถ ไม่ได้แปลว่ามีอำนาจควบคุมเทือกเขาโอสถ!”
“ตำแหน่งเสินสื่อลำดับแปดนี้ หากเจ้าไม่อยากเป็น มีคนมาทำแทนเจ้าได้!”
กลิ่นคาวเลือดจางๆ สายหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากไรฟันของนาง
จากนั้น ความเจ็บแสบชวนสะดุ้งก็แล่นปราดขึ้นมา เป็นนางที่กัดปากตัวเองจนแตกโดยไม่รู้ตัว
โลหิตสายหนึ่งไหลซึมออกมาตัดกับผิวนางที่ยิ่งทวีความซีดขาว
แต่ในตอนนี้ ทั่วทั้งร่างของนางล้วนตายด้าน จึงมิได้ตอบสนองต่อความรู้สึกพวกนี้อีก
พลันมีคนผู้หนึ่งเดินตรงเข้ามาขวางทางนางเอาไว้
“หยุดก่อน”
ซูจิ้งหยุดยืนนิ่งโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเงยศีรษะขึ้น
ผู้มาใหม่คือจิ้นอวิ๋นไหลนั่นเอง
เขาในตอนนี้มีสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าหว่างคิ้วกลับปกคลุมด้วยไอเย็นยะเยือก
ภายในแววตาของเขาสามารถเห็นถึงโทสะที่สาดซัดได้จางๆ
ในใจของซูจิ้งพลันสั่นระริก
นางค่อนข้างหวาดกลัวจิ้นอวิ๋นไหลมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เพียงเพราะว่าพลังของเขาแข็งแกร่งกว่านาง ยังเป็นเพราะเขาถูกจัดอยู่ในลำดับเจ็ด ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่านาง
ลำดับระหว่างเสินสื่อด้วยกันใช้แสดงถึงระดับของความโหดเหี้ยมต่างหาก!
เพียงแต่ปกติทุกคนต่างมีหน้าที่ของใครของมัน ไม่ได้ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ดังนั้นความแตกต่างของข้อนี้จึงมิได้แสดงให้เห็นโดยชัดเจน
แต่ทันทีที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง จิ้นอวิ๋นไหลที่มีลำดับอยู่ก่อนหน้านางก็ย่อมมีคุณสมบัติในการสั่งสอนนาง!
ยามเห็นปฏิกิริยาของเขาในตอนนี้ ชัดเจนเลยว่าเขารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเทือกเขาโอสถแล้ว
“เสินสื่อลำดับเจ็ด ข้า…”
ทันทีที่นางเอ่ยปากพูดก็ถูกจวิ้นอวิ๋นไหลตัดบทฉับ
“เจ้าทำอันใดลงไปกันแน่ ถึงได้ไปกวนใจท่านผู้นั้นเข้า!?”
ซูจิ้งกัดฟันกรอด
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านเสินสื่อลำดับเจ็ดก็คงรู้เรื่องแล้ว ข้า… ข้าแค่จัดการเรื่องของตัวเองอย่างที่เคยทำมา…”
สายตาอันเข้มงวดและเย็นชาของจวิ้นอวิ๋นไหลจับจ้องมาที่นางเขม็ง
ซูจิ้งแทบจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ
นางหลับตาลง
“… เป็นข้าที่ล้ำเส้นเอง ข้าไม่ควรตั้งกฎในเทือกเขาโอสถมากมายขนาดนั้น แล้วก็ไม่ควรหลงผิดคิดไปเองว่าตัวเองมีอำนาจไปควบคุมเทือกเขาโอสถ…”
“ไม่ใช่เรื่องนี้”
น้ำเสียงของจิ้นอวิ๋นไหลเด็ดขาดยิ่ง
ซูจิ้งถึงกับตื่นตะลึง
“หมายความว่าอันใด? แต่ท่านผู้นั้นลงมาบอกด้วยตัวเองว่า…”
“เทือกเขาโอสถนั้นสำคัญมาก เจ้าล้ำเส้น คอยควบคุมเทือกเขาโอสถมาหลายปีก็เป็นเรื่องจริง แต่เหตุใดผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง เขาถึงได้ตัดสินใจเลือกเอาวันนี้ด้วย?”
จิ้นอวิ๋นไหลหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องพวกนี้หากมองในมุมผู้อื่นคงเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับองค์เทพแล้วไม่คู่ควรให้พูดถึง ทั้งยังย่อมไม่คู่ควรให้เขาลงมือเช่นนี้”
”เจ้าต้องไปทำเรื่องอื่นที่ไปแตะขีดจำกัดของท่านผู้นั้นมาแน่!”
………………..