ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2245 นายท่านก็คือนายท่าน
สีหน้าของซูจิ้งพลันนิ่งอึ้งไป
“แต่ข้าไม่…”
นางพลันนึกอันใดออก สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันควัน
“หรือว่า… เป็นเพราะซั่งกวนเยว่ผู้นั้น? แต่ว่า… ต่อให้นางมีร้านเจินเป่าเก๋อคอยหนุนหลัง ก็ไม่น่าถึงขั้นทำเช่นนี้กระมัง?”
จวิ้นอวิ๋นไหลขมวดคิ้ว
ความจริงแล้วหลังจากที่เขารู้เรื่องนี้ เขาเองก็ขบคิดอยู่หลายต่อหลายครั้ง
เดาไปเดามา ทุกอย่างก็ล้วนชี้ไปที่ตัวคนผู้นั้น
แต่…
มิใช่ว่านางเพิ่งมาถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานหรอกหรือ
องค์เทพถึงกับออกหน้าด้วยตัวเองเพื่อคนเช่นนี้ผู้เดียว?
จะขบคิดเรื่องนี้อย่างใดก็ดูจะไม่ถูกต้อง
แต่นอกจากเหตุผลข้อนี้แล้วก็ดูจะไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก
“ดูท่าแล้วนางจะสำคัญต่อร้านเจินเป่าเก๋อมากกว่าที่พวกเราคาดไว้…”
จิ้นอวิ๋นไหลพลันชะงัก
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องคนที่ร้านเจินเป่าเก๋อให้ท้ายมั่วซั่ว ตอนนี้เป็นอย่างใดเล่า?”
ยามถูกประณามต่อหน้าธารกำนัลจนอับอายขี้หน้านั้นไม่เท่าไร ที่สำคัญที่สุดก็คือ… ตำแหน่งเสินสื่อลำดับแปดของนางเองก็สั่นคลอนไปด้วย!
ซูจิ้งกัดริมฝีปากอย่างแรง พูดอันใดไม่ออกเลยสักคำ
ต่อให้ในใจนางจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน นางก็รู้ดีว่าคราวนี้ตัวเองก่อหายนะไปเสียแล้ว อีกทั้ง… ยังมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเพราะซั่งกวนเยว่ผู้นั้น!
“มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่ข้า เสินสื่อลำดับหนึ่งก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
ทั่วทั้งร่างของซูจิ้งสั่นเทิ้ม นางผงกศีรษะรับอย่าง
“…ขอบคุณเสินสื่อลำดับเจ็ดที่ชี้แนะ ข้าเข้าใจแล้ว”
…
เชียงหว่านโจวค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ชั่วพริบตา ในดวงตากระจ่างใสสดชื่น ราวกับมีไอเย็นเยียบปรากฏวาบผ่านในทันใด
เขาพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด
ไอเย็นที่ผนึกเอาไว้ภายในร่างถูกเขาแปรสภาพไปเป็นพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองแล้วจนหมดสิ้น
พลังอันอุดมสมบูรณ์ไหลเวียนไปตามแขนขาทั้งสี่อย่างคล่องแคล่ว ทุกจุดล้วนกักเก็บไว้ซึ่งพลังระเบิดอันน่าหวาดหวั่น
เขายกมือขึ้นพลางยื่นมันออกไปด้านหน้า
หึ่ง!
พื้นที่ว่างพลันสั่นไหว!
ริ้วคลื่นสายหนึ่งพลันแผ่กระจายออกไปทั้งสี่ทิศ!
ยามเขาแผ่ฝ่ามือออกจากกัน การกระเพื่อมไหวตรงหน้าพลันราบเรียบทันที
ความรู้สึกที่แผ่วเบาไปทั่วร่างเช่นนี้… ไม่ได้ประสบมาหลายปีแล้ว
เขาเหลือบสายตาขึ้นไปมองด้านหน้า
ไกลออกไปสุดสายตา มีตำหนักใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
ทั้งศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามจนมิอาจล่วงล้ำได้!
เขาหลับตาลง ยามลืมตาขึ้นมาอีกรอบ ทั้งสีหน้าและแววตาก็กลับมานิ่งสงบแล้ว
จากนั้น เขาก็เคลื่อนไหวร่างกาย เดินมายังใจกลางของสวนหย่อม ก่อนจะหยุดยืนนิ่งห่างจากฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ตรงหน้าไปไม่กี่ก้าว
อายุเท่านี้ก็บุกทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ช่างหาได้ยากยิ่งโดยแท้
อีกอย่างสภาพร่างกายของเขาค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นย่อมควรแก่การยินดีและปลาบปลื้มที่การบุกทะลวงครั้งนี้สำเร็จได้
เชียงหว่านโจวจ้องนางตาไม่กะพริบ ในแววตาราวกับมีกระแสคลื่นบางอย่างโหมซัด
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตกใจ “เสี่ยวโจว เป็นอันใดไป?”
เชียงหว่านโจวหลุบตาลงน้อยๆ
“ขอบพระคุณ… นายท่าน”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าเขาดูแปลกไปอยู่หลายส่วน แต่ก็พูดไม่ออกว่าตรงไหนที่ผิดแผกจากเดิม
สายตาที่เขามองมาเมื่อครู่…
หรือเป็นเพราะเพิ่งบุกทะลวงสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เลยยังไม่คุ้นชินกันนะ?
ฉู่หลิวเยว่ลอบคิดในใจ
นางสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า
“ข้าขอมือหน่อย”
เชียงหว่านโจวยื่นมือไปให้อย่างเชื่อฟัง
ข้อมือของเขาเรียวและขาว ราวกับแค่ใช้แรงส่วนหนึ่งก็สามารถหักได้อย่างง่ายดาย
ทว่าใครจะไปคาดคิดว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้บัดนี้จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว?
ฉู่หลิวเยว่ใช้นิ้วทาบลงบนข้อมือของเขา แล้วส่งพลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบดู
ไอเย็นภายในร่างของเขาหายไปจนหมด แปรเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเขาเองแล้วจริงๆ
เพียงแต่พลังที่ปะทุออกอย่างกะทันหันสายนี้รุนแรงเกินไป สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีพจรดั้งเดิมของเขา และแน่นอนว่ายังคงทิ้งความเสียหายบางส่วนเอาไว้ให้ด้วย
เพียงแต่พวกนี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใด แค่จัดการให้ดีก็ใช้ได้แล้ว
นางชักมือกลับด้วยวางใจ ก่อนจะยื่นโอสถคงปราณตั้งต้นส่งไปให้
เชียงหว่านโจวยื่นสองมือออกไปรับไว้
กล่องหยกที่แตะฝ่ามือนั้นเย็นเฉียบ เขากลับรู้สึกว่าฝ่ามือของตัวเองนั้นร้อนลวกยิ่ง
“ขอบพระคุณนายท่านขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางลูบผมเขา
“เหตุใดพอเป็นระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วถึงได้เปลี่ยนไปเคร่งขรึมขึ้นขนาดนี้เล่า?”
ริมฝีปากดั่งกลีบกุหลาบของเชียงหว่านโจวโค้งน้อยๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่ว
“นายท่านก็คือนายท่าน”
ฉู่หลิวเยว่หาได้สนใจไม่
นิสัยของเขาก็นิ่งเงียบและเก็บงำความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร
“ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องคอยห่วงว่าร่างกายของเจ้าจะเกิดปัญหาอันใดอีกแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ปลาบปลื้มอย่างมาก จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
“ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ลงผนึกให้เจ้า”
เชียงหว่านโจวหลุบตาลง ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
“ช่างเถอะ อย่างใดเสียตอนนี้ก็ดีแล้ว หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเมื่อกี่ปีก่อน ตัวเชียงหว่านโจวเองยังจำไม่ได้ก็ยิ่งพูดยากกันไปใหญ่
เชียงหว่านโจวผงกศีรษะหงึกหงัก
“ข้าเชื่อฟังนายท่านทุกอย่าง”
บัดนี้ในใจฉู่หลิวเยว่นับว่าวางเรื่องหนึ่งลงได้แล้ว หลังจากพูดคุยต่ออีกสองสามประโยค ก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่ร้านเจินเป่าเก๋อ
นางยังคัดลอก “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” ไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่าง นางเองก็อยากไปลองดูว่าจะหาโอกาสพบกับผู้ดูแลรองของร้านเจินเป่าเก๋อได้หรือไม่
…
ยามฉู่หลิวเยว่มาถึงร้านเจินเป่าเก๋อก็แทบไม่มีใครอยู่แล้ว
ฟากหมิงซูนั้นกำลังจัดแจงสมุนไพรบนชั้นวางสินค้าอยู่
“ใต้เท้าหมิง”
ได้ยินสุ้มเสียงนี้ หมิงซูหันศีรษะกลับไปมองขวับ ครั้นพบว่าเป็นฉู่หลิวเยว่ก็รีบส่งยิ้มให้
“โอ้ คุณหนูซั่งกวน เหตุใดวันนี้ถึงได้แวะเวียนมากันเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองรอบๆ คราหนึ่ง
“มีเวลาว่างจึงแวะมา ว่าแต่เหตุใดในร้านท่าน… ถึงได้ร้างคนเช่นนี้?”
หมิงซูหัวเราะร่า
“ตอนนี้ยอดเทือกโอสถสามารถเข้าออกได้ตามใจแล้ว พวกเขาอยากได้สมุนไพรอันใดก็ไปเก็บเอาเองได้ คนที่มาย่อมลดน้อยลงมาก”
หางคิ้วของฉู่หลิวเยว่กระตุกกึก
เรื่องนี้… เหมือนจะเป็นเพราะนางอย่างใดอย่างนั้น?
………………..