ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2246 ใคร
นางพลันบังเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
“นี่… ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตขนาดนี้จนลากร้านเจินเป่าเก๋อไปพัวพันด้วย”
หมิงซูมองนางด้วยสายตาแปลกพิกล
“คุณหนูซั่งกวนพูดถึงอันใดหรือ”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมในลำคอคราหนึ่ง
“หากมิใช่เพราะข้าดึงดันจะไปเก็บกระวานเร้นมังกรที่เทือกเขาโอสถมาให้ได้ ก็คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นในภายหลัง จนกระทบกับการค้าของเจินเป่าเก๋อ…”
“ไฮ่ ท่านพูดถึงเรื่องนี้หรอกหรือ?”
หมิงซูพลันเข้าใจในบัดดล ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“ท่านไม่ต้องขอโทษขอโพยเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก อย่างใดเสียเดิมทีพวกเราร้านเจินเป่าเก๋อก็ไม่ได้เน้นค้าขายสมุนไพรเป็นหลักอยู่แล้ว ก็แค่มียอดขายน้อยลงเท่านั้น ไม่ว่าจะค่ายกลหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มีสัดส่วนมากกว่าสมุนไพรพวกนี้อยู่มากโข!”
ฉู่หลิวเยว่พลันตกตะลึง
“…ความหมายของท่านก็คือ…”
“ฮี่ฮี่ ท่านลองคิดดูซี ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มีเทือกเขาโอสถที่ซึ่งมีวัตถุดิบล้ำค่าจากสวรรค์เติบโตอยู่นับไม่ถ้วน แม้ก่อนหน้านี้เสินสื่อลำดับแปดจะออกกฎมามากมาย แต่เซียนหมอส่วนใหญ่ก็ยังเข้าไปเก็บสมุนไพรที่ตนต้องการได้ เหลือเพียงส่วนน้อยที่ต้องมาดำเนินการผ่านร้านเจินเป่าเก๋อของเรา ซึ่งก็คือเงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอันใดได้ ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เจินเป่าเก๋อนี่ช่าง…
ร่ำรวยจนไม่สนผู้ใดจริง!
การค้าสมุนไพรมากมายปานนี้ บอกไม่ต้องก็คือไม่เอาแล้ว
นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นซานซานล่ะก็ เกรงว่าคงร้องไห้โฮออกมาให้นางเห็นแล้ว
“ว่าแต่ท่านเถอะ ตอนนี้ชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มากจริงๆ!”
หมิงซูยกนิ้วโป้งให้นางพลางกล่าวชื่นชมออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
“ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นเพราะคุณหนูซั่งกวนยืนกรานจะท้าประลองกับเหลียงเหอให้ได้ ถึงทำให้ท่านผู้นั้นตัดสินใจลงมือปราบเทวทูตลำดับแปดในที่สุด อีกทั้งยังยกเลิกกฎที่นางเคยตั้งไว้ทั้งหมดด้วย นับแต่นี้ไป ทุกคนล้วนเข้าออกเทือกเขาโอสถได้ตามใจชอบ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรที่รู้สึกซาบซึ้งต่อท่านกันหนา!”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าเลยจริงๆ”
นางก็แค่อยากเก็บกระวานเร้นมังกรไปสองสามต้นก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ตามมาทีหลัง… ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนางแล้วจริงๆ
หมิงซูหัวเราะคิกคัก
“อย่างใดเสียไม่ว่าจะยังไง ต่อจากนี้สถานะของท่านในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่เหมือนเดิมแล้ว ยามพวกเขาเห็นท่าน ก็ต้องเอ่ยขอบคุณด้วยตัวเองอย่างเสียไม่ได้แล้ว!”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกน้อยๆ ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาคิดใส่ใจอีก
คนพวกนั้นจะมีท่าทีต่อนางอย่างใด แท้จริงแล้วนางก็หาได้ใส่ใจมากนัก
“ท่านไม่กล่าวโทษข้าก็ดีแล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากจะคัดลอก ‘ภาพทมิฬสิ้นอัคคี’ ต่อน่ะ”
หมิงซูรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “เชิญเลยท่าน!”
ฉู่หลิวเยว่เดินขึ้นไปชั้นบนพลางเอ่ยถามว่า
“ร่างกายของผู้ดูแลรองดีขึ้นมาบ้างหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้ว! คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซั่งกวนจะยังนึกถึงเรื่องนี้ได้ด้วย?”
หมิงซูเอ่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
ฝีเท้าของฉู่หลิวเยว่ชะงักไป สีหน้านางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เช่นนั้นมิรู้ว่าครั้งนี้ผู้ดูแลรองพอมีเวลามาพบข้าบ้างหรือไม่?”
“นี่… เกรงว่าจะไม่ได้ ท่านอาจยังไม่ทราบ ผู้ดูแลรองของเราไม่ได้กลับมานานมากแล้ว ที่กลับมาครั้งนี้เหตุผลหนึ่งก็เพื่อฟื้นฟูร่างกาย อีกเหตุผลหนึ่งคือบัญชีของร้านเจินเป่าเก๋อหลายปีมานี้ยังต้องให้เขาตรวจดูอย่างละเอียด คาดว่าคงมิมีเวลามาพบท่านไปสักระยะจริงๆ”
เขาเหลือบมองฉู่หลิวเยว่อย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง
“คุณหนูซั่งกวนมีเรื่องด่วนหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“เปล่าหรอก ในเมื่อผู้ดูแลรองไม่มีเวลา เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ค่อยพบกันคราวหลังก็ไม่ต่าง”
พูดจบ นางก็หมุนกายเดินขึ้นไปชั้นสอง
…
ทั่วทั้งชั้นสองยังคงเงียบสงบอย่างเคย
ฉู่หลิวเยว่มุ่งตรงไปห้องที่เคยมาครั้งก่อน หลังเข้าไปแล้วก็พบว่าทุกอย่างยังคงวางไว้เหมือนตอนที่นางจากไปไม่มีผิดเพี้ยน
หมิงซูยืนอยู่ที่ประตู เขาหัวเราะร่าพลางกล่าวว่า
“ท่านวางใจเถิด ในนี้มีแต่ท่านที่เข้ามาได้ ผู้อื่นมิอาจรุกล้ำ ดังนั้นยามที่ท่านจากไปเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็จะยังคงเป็นเช่นนั้น”
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจว่าอย่างใดเสียที่นี่ก็มีสมบัติล้ำค่าอย่าง “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” วางไว้อยู่ การที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็นับว่าดีมาก
อย่างน้อยที่สุดก็สามารถลดปัญหาไปได้ไม่น้อยทีเดียว
“เช่นนั้นเชิญท่านตามสบาย ข้าขอตัว”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า “ใต้เท้าหมิงดูแลตัวเองด้วย”
หมิงซูจากไปทั้งแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าวางใจในตัวนางอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่จัดการลากเก้าอี้มานั่ง ก่อนจะหยิบ “ภาพทมิฬสิ้นอัคคี” ออกมา
…
ครั้งนี้ฉู่หลิวเยว่จัดการคัดลอกค่ายกลไปทั้งหมดห้าสิบอันในคราวเดียว
ม้วนก่อนหน้านี้ไม่ได้ยากอันใดมากมายนักสำหรับนาง ดังนั้นไม่ช้าก็คัดลอกเสร็จอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนางก็หยิบม้วนต่อไปมาคลี่ดูอยู่นาน
นางพึมพำเสียงเบา
ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่คิดจะเข้าใจเนื้อหาของมันทั้งหมดจนทะลุปรุโปร่ง เกรงว่าก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเช่นกัน
มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงขังเซียวหรานเอาไว้ได้นานขนาดนั้น
“ดูคล้ายค่ายกลกระสวยสวรรค์อยู่นิดหนึ่งหนา”
นางเอ่ยราวกับกำลังใช้ความคิด
ความจริงแล้ว ค่ายกลทั้งหมดที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “สวรรค์” อยู่ในม้วนนี้ล้วนมีจุดที่คล้ายกับค่ายกลกระสวยสวรรค์ทั้งนั้น
เพราะก่อนหน้านี้นางเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองสลักค่ายกลกระสวยสวรรค์ฝังลึกลงไปในสมอง ดังนั้นพอมาดูค่ายกลพวกนี้อีกรอบก็ง่ายดายขึ้นเป็นกอง
แม้ตอนที่นางอยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาดจะจำค่ายกลได้จำนวนมาก แต่การคิดจะใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญกลับไม่ง่ายขนาดนั้น
โชคยังดีที่บัดนี้ขั้นพลังปราณของนางเพิ่มขึ้นแล้ว ค่ายกลพวกนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนาง
หลังจากอยู่ต่ออีกระยะหนึ่ง นางก็หยัดกายลุกขึ้น
หลังจากส่งมอบค่ายกลที่คัดลอกเสร็จเรียบร้อยให้แก่หมิงซู นางก็จากไปอย่างรวดเร็ว
…
เดิมทีนางคิดจะมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตนเลย ทว่าเมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีเงาร่างหนึ่งทะยานแวบผ่านไปบนกลางอากาศอย่างว่องไว
นางเหลือบสายตาขึ้นมอง ทันเห็นเพียงเห็นแผ่นหลังที่ดูคุ้นตาไม่น้อยเท่านั้น
“เสินสื่อลำดับเจ็ด?”
ดูจากทิศทางแล้ว คงกำลังมุ่งหน้าไปทางประตูสวรรค์
นางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็รู้ตัวในทันทีว่าอาจมีคนมาอีก
ประตูสวรรค์จะเปิดลากยาวไปจนครบปี ในระยะนี้ ตราบใดที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากอาณาจักรเสิ่นซวี่สามารถผ่านมหาสมุทรผืนนั้นแล้วข้ามสะพานมาได้ ทุกคนก็จะสามารถเข้ามาในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้
เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่พวกนางมาที่นี่ จะมีผู้อื่นขึ้นมาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
ฉู่หลิวเยว่ทอดสายตามองไปทางนั้น ในใจพลันบังเกิดความใคร่รู้ขึ้นมาหลายส่วน
ไม่รู้ว่าคนที่มาครั้งนี้จะเป็นใคร
เพียงแต่จุดที่นางยืนอยู่ค่อนข้างไกลจากประตูสวรรค์ เห็นหน้าค่าตาของคนไม่ชัด ทำได้แค่มองเห็นว่าคนมาใหม่นั้นมีค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็สักเจ็ดแปดคนได้
เมื่อจิ้นอวิ๋นไหลไปถึงประตูสวรรค์ ก็เริ่มทำการตรวจสอบทันที
ฉู่หลิวเยว่มองดูอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าไม่รู้เพราะเหตุใดความเร็วของพวกเขาถึงดูช้าอยู่บ้าง เวลาล่วงเลยไปแล้วก็ยังไม่เข้ามา
นางเองก็รอจนเบื่อ จึงหมุนฝีเท้าหมายจะจากไป
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินสุรเสียงหนึ่งดังแว่วมาจากฟากนั้นแต่ไกล
“โอ้ นั่นนายท่านเยว่ไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับชะงัก ก่อนจะเบนสายตามองไป
บุรุษผู้หนึ่งที่เพิ่งได้ข้ามประตูสวรรค์มากำลังหันมองมาทางนี้
ในตอนนั้นเอง เมื่อไม่มีแสงจากประตูสวรรค์คอยบดบัง นางก็เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนในที่สุด
“เจ้าคือใคร”
………………..