ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2247 สบายดีหรือไม่
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
สีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง
นางถามเขา แล้วมองด้วยสีหน้าจริงจัง
นางไม่รู้จักคนคนนี้จริงๆ
ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากจัดเสื้อผ้าของตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดออกมาทีละคำว่า
“หนานจิ่นซูแห่งตระกูลหนาน”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“อ๋อ คนตระกูลหนานนั่นเอง?”
เหมือนนางจะได้ยินชื่อของหนานจิ่นซูมาบ้าง
ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้อาวุโสตระกูลหนาน ชื่อเสียงไม่โดดเด่น หลังจากที่หนานอีฝานตายไปแล้ว เขาก็รีบนำตัวเองสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นประมุขตระกูลหนานในปัจจุบัน
เดิมทีเขาไม่สมควรได้นั่งตำแหน่งนี้ เพียงแต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น คนตระกูลหนานบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่ไม่มาก
นี่จึงเป็นโอกาสของหนานจิ่นซู
ในช่วงนี้ ตระกูลหนานไม่มีข่าวคราวอันใดออกมาเลย น่าจะเป็นเพราะกำลังดูแล รักษากำลังของตัวเองอยู่
ฉู่หลิวเยว่คิดว่าพวกเขาจะใช้เวลาพักรักษาตัวนานกว่านี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาก็มาที่พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วย
“ตัวข้านั้นมีชื่อเสียงไม่มาก นายท่านเยว่ไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติแล้ว”
หนานจิ่นซูควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับเป็นปกติดังเดิม
ฉู่หลิวเยว่ไม่มีความสนใจที่จะสนทนาต่อ หลังจากที่นางตอบรับหนึ่งคำ นางก็หมุนตัวเดินจากไปในทันที
“นายท่านเยว่ช้าก่อน!”
หนานจิ่นซูหัวเราะออกมา สายตาก็มองไปทางถวนซิ่นจื่อที่คาดเอวนางอยู่
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น นายท่านเยว่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แล้วเหตุใดถึงมาที่นี่ได้?”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น
“ช่วยไม่ได้ พรสวรรค์ข้าดีเกินไป แม้จะไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าคนอื่นนิดหน่อย แล้วยังสามารถเดินรอบพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ ประมุขหนานมีความคิดเห็นอย่างใดหรือ?”
หนังตาของหนานจิ่นซูกระตุกอย่างแรง
เขารู้ตั้งนานแล้วว่าฉู่หลิวเยว่มีฝีปากกล้า แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ในตอนที่เขากำลังจะโต้เถียงสักประโยค เขาก็สบเข้ากับดวงตาดำมืด จนรู้สึกสะท้านขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยลืมว่า แม่นางที่อยู่ตรงหน้านี้ โหดเหี้ยมมากเพียงใด!
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง คนที่เสียเปรียบก็เป็นได้แค่ตัวเขาเท่านั้น
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เขาก็หัวเราะออกมา
“ที่ไหนกันเล่า ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจที่ได้พบกับนายท่านเยว่ที่นี่”
“เรื่องเล็กหน่อยเช่นนี้ก็สามารถทำให้ประมุขหนานประหลาดใจได้แล้ว ความอดทนต่อจิตใจของท่านนั้นย่ำแย่ขนาดนั้นเชียว?”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
หนานจิ่นซูมีใบหน้ามืดครึ้มลง “เจ้า…”
“หนานจิ่นซู”
จิ้นอวิ๋นไหล่เรียกชื่อเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หนานจิ่นซูรีบดึงสติกลับมาทันที เขาจึงประสานมือคารวะ “เสินสื่อลำดับที่เจ็ด มีอันใดจะสั่งการหรือขอรับ?”
สายตาของจิ้นอวิ๋นไหล่กวาดมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้าจัดการคนเหล่านี้ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยตามมาที่พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์”
คำพูดนี้เขาพูดกับหนานจิ่นซู
จิ้นอวิ๋นไหล่พูดอันใดกันน่ะ เขาต้องการให้หนานจิ่นซูเดินทางไปที่นั่นโดยตรงอย่างนั้นหรือ?
พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์มีการคุ้มกันที่เข้มงวดอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ด้วย?
เมื่อนึกถึงมู่หยาเฟิงที่ต้องสูญเสียพลังไปมากขณะที่อยู่บนเส้นทางดวงดาวกว่าจะได้คุณสมบัติในการเข้าร่วมมา!
แต่หนานจิ่นซูกลับเข้าไปได้ง่ายๆ แบบนั้นเชียวหรือ?
เหมือนเขาจะสังเกตเห็นถึงสีหน้าตกตะลึงของนาง ในแววตาของหนานจิ่นซูจึงมีความภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน
“นายท่านเยว่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวไปก่อนนะขอรับ แต่หลังจากนี้เวลาส่วนใหญ่ข้าคงอยู่ภายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ และคงจะไม่มีโอกาสได้เจอกันมากนัก”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้นมา
“ได้สิ ประมุขหนานรออยู่ที่นั่นก็พอ”
หนานจิ่นซูรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน คำพูดที่เหลือติดอยู่ในลำคอ ไม่ว่าอย่างใดก็พูดไม่ออก
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา
“นายท่านเยว่ไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ หากอยากจะเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้ว่าจะต้องลำบากขนาดไหน แต่ดูไปแล้ว นายท่านเยว่จะมีความมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
“ประมุขหนานกังวลว่าข้าจะไม่สามารถเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้กังวล ข้าแค่ชี้แจ้งข้อเท็จจริงเท่านั้นเอง”
หนานจิ่นซูหัวเราะเสียงเย็น
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เข้ายากขนาดไหน เขารู้ดีที่สุด
ต่อให้เป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างซั่งกวนเยว่ แต่เมื่อนางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนั้นก็ยากเหมือนกับการปีนขึ้นสวรรค์
เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
“ประมุขหนานสามารถเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก ช่วงนี้พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์อันตรายอย่างมาก บอกไม่ได้ว่าจะถูกคนจัดการเมื่อใด การที่ได้อยู่ในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว ข้าจึงไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของประมุขหนานอีกต่อไป”
หนานจิ่นซูมีใบหน้าเขียวคล้ำ แต่ภายในใจของเขายังมีความหวาดกลัวต่อฉู่หลิวเยว่อยู่หลายส่วน เขาจึงทำได้เพียงสะบัดชายเสื้อแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือเพียงไม่กี่คนของตระกูลหนาน
เมื่อเห็นว่าเงาร่างของคนเหล่านั้นค่อยๆ จากไป นางก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหนานเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เขาจะนำคนที่เหลือมาที่นี่ทั้งหมดเลยหรือ?
ถ้าอย่างนั้นตระกูลเขาก็เหลือแต่เปลือกแล้วใช่หรือไม่?
หรือบางที…พวกเขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะทุ่มกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มกำลัง?
เห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์กับตระกูลหนานมีอันใดบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ในตอนนั้นเองคนกลุ่มหนึ่งก็เดินมาหยุดที่ด้านนอกประตูสวรรค์
จิ้นอวิ๋นไหล่หมุนตัวกลับไปมองคนเหล่านั้น
“พวกเจ้าหารือกันเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ จะเข้าไปด้วยกันหรือไม่?”
เขาพูดขึ้นเสียงเรียบ
แม้ภายในน้ำเสียงของเขาจะเย็นชา ภายในนั้นก็ยังมีน้ำเสียงที่คุ้นเคยเจืออยู่
“บังเอิญจริงๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้น ภายในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเกียจคร้านและชั่วร้ายจนทำให้ผู้คนใจสั่น
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นสะท้าน นางรีบหันกลับไปมองทันที จากนั้นรูม่านตาก็หดเล็กลง
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูสวรรค์ ชายคนที่ยืนอยู่หน้าสุดคือ จวินจิ่วชิงที่นางไม่ได้เจอมานาน!
ในขณะที่นางกำลังมองไป จวินจิ่วชิงก็เหลือบสายตามามองทางนี้เช่นกัน
ทันใดนั้นคิ้วกระบี่ของเขาก็เลิกขึ้น ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้ม
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือไม่?”