ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2248 เจ้าไม่ควรจะเลือกเขา
ตอนที่ 2248 เจ้าไม่ควรจะเลือกเขา
………………..
จิ้นอวิ๋นไหล่หันกลับมามอง
“พวกเจ้ารู้จักกันด้วยหรือ?”
มุมปากของจวินจิ่วชิงยกยิ้มขึ้น
“รู้จักอยู่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองระหว่างทั้งสองคน
นางสามารถมองออกว่า จิ้นอวิ๋นไหล่กับจวินจิ่วชิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา และดูเหมือนจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
“เจ้าได้ยินเรื่องที่ข้าพูดกับหนานจิ่นซูเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่?”
จิ้นอวิ๋นไหล่อธิบายอย่างเรียบง่ายหนึ่งประโยค
“หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ให้พวกเขาเข้าไปในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์กันเอง”
จวินจิ่วชิงตอบรับหนึ่งคำ
“ขอบคุณเสินสื่อลำดับที่เจ็ดมาก”
จิ้นอวิ๋นไหล่พยักหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ขณะที่กำลังเดินผ่านฉู่หลิวเยว่ เขาก็ชะงักฝีเท้า เหมือนต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง
“เจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
จิ้นอวิ๋นไหล่จ้องมองไปที่ดวงตาที่กระจ่างใสและชัดเจนของนาง แต่ทันใดนั้นเขาก็กลืนคำพูดที่เหลือลงคอ
เขาอยากจะถามอันใด?
เขาสามารถถามอันใด?
ที่ตี้จวินลงโทษและกล่าวตักเตือนก็เป็นเพราะนางมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ใช่หรือ?
ลายมือที่สลักบนนั้นยังคงชัดเจนเหมือนวันแรกที่มอบให้กับนาง
เหมือนไม่ได้เกิดความสูญเสียอันใดเลยแม้แต่ส่วนเดียว
เดิมทีจิ้นอวิ๋นไหล่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดแล้ว เขาก็รู้สึกว่านี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่เดินทางอยู่บนเส้นทางดวงดาวสักระยะหนึ่ง จากนั้นก็เดินทางไปก้นบึ้งของสระอัสนีบาต จากนั้นก็ถูกเจินเป่าเก๋อคัดเลือกให้สร้างค่ายกลขึ้นมา…
จากเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเลือกสิ่งไหนมาก็ล้วนยอดเยี่ยมทั้งนั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อครู่นี้นางเพิ่งได้เลื่อนขั้นจากมหาปรมาจารย์โอสถเป็นปรมาจารย์เซียนหมอ โดยนางสามารถหลอมโอสถคงปราณตั้งต้นได้ตั้งแต่ครั้งแรก
หากนางนางสามารถรักษาข้อความที่อยู่บนถวนซิ่นจื่อได้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว
นอกจากเรื่องที่นางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ การแสดงผลงานในด้านอื่นของนางนั้นนับว่าไร้ที่ติจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเขาลังเลและเงียบเสียงไป ฉู่หลิวเยว่ก็พูดขึ้นมาว่า
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ด?”
เขาต้องการจะพูดอันใดกันแน่ หลังจากจ้องหน้านางเป็นระยะเวลานาน เขาก็ยังไม่ส่งเสียงอันใดออกมา
จิ้นอวิ๋นไหล่ดึงสติกลับมา ก่อนจ้องหน้านาง
“ไม่มีอันใด”
เมื่อพูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินจากไปทันที
ฉู่หลิวเยว่มองส่งเขาจนลับสายตา แล้วกะพริบตาปริบๆ
ท่าทางที่เสินสื่อลำดับที่เจ็ดคนนี้ปฏิบัติต่อนาง…เหมือนว่าจะดีกว่าเดิมอยู่เล็กน้อย?
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยก็ไม่รอดพ้นสายตาของฉู่หลิวเยว่
เมื่อครู่นี้จิ้นอวิ๋นไหล่จ้องหน้านางนานขนาดนั้น แววตาสับสน แต่สายตานั้นไม่ใช่สายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเช่นตอนแรกอีกต่อไป
หรือเพราะอาจจะเป็นเรื่องล่าสุดหรือ?
แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น ไม่ได้นับรวมถึงจิ้นอวิ๋นไหล่ เสินสื่อลำดับที่เจ็ด
ฐานะเช่นเขา เขาเคยเห็นอัจฉริยะจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
และก็เขาเองก็มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถพิชิตเส้นทางดวงดาวได้ในครั้งเดียว
และเขายังเป็นคนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดด้วย
เพียงแค่เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาโดดเด่นเหนือคนทั่วไป
แล้วเขาจะชอบใจ “การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ” ของนางได้อย่างใด?
“อยากเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงที่เกียจคร้านดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง พบว่าเป็นจวินจิ่วชิงที่มายืนอยู่ด้านหลังของนางตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ริมฝีปากแดงของนางยกขึ้นเล็กน้อย เผยออกมาเป็นรอยยิ้ม
“คนที่มาที่นี่ มีใครบ้างไม่อยากเข้าไป? แต่ทว่าคนทั่วไปก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับประมุขตระกูลอี้ได้ เมื่อเพิ่งมาถึงก็มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าไปในทันที”
จวินจิ่วชิงก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วขยับตัวเข้าใกล้นาง พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าพาเจ้าเข้าไปดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคลายมันออก
“ประมุขตระกูลอี้ช่างล้อเล่นเก่งจริงๆ เลย”
เขาสามารถเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก
แต่หากบอกว่า เขาจะพาใครสักคนเข้าไป เกรงว่านั่นคงเป็นเรื่องล้อเล่นแล้ว
นางเชิดปลายคางขึ้น สายตาจ้องมองไปทางคนที่อยู่ด้านหลังของเขา
“หากประมุขตระกูลอี้มีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่พาพวกเขาเข้าไปด้วยล่ะ?”
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“จะเอาพวกเขามาเปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างใด?”
ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเจ้าต้องการจะทำอันใด ข้าไม่มีทางล้อเล่นเด็ดขาด”
หากนางต้องการเข้าไปในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะพานางเข้าไป
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ริมฝีปากแดงที่งดงามของนางนั้นเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเชื่องช้า พร้อมถามขึ้นเสียงเบา
“ประมุขตระกูลอี้ นี่ท่านกำลังดูถูกใครอยู่หรือ?”
นางอยากเข้าไปจริง แต่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเขา
นางไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร สักวันหนึ่งนางจะสามารถเดินเข้าไปในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างสง่าผ่าเผย
จวินจิ่วชิงมองหน้านาง แล้วยกมือขึ้นสองข้าง ถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงเกียจคร้าน แฝงไปด้วยความแหบพร่า
“ข้าถูกใส่ความแล้ว”
“แต่เมื่อเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าแค่จะมอบสิ่งนั้นให้ ไม่ได้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะ
“หากข้าต้องการสิ่งใด ข้าจะแย่งมาเอง ถ้าข้าแย่งมาไม่ได้ แน่นอนว่าข้ายังมีสามีของข้าอยู่ ประมุขตระกูลอี้ เจ้าเป็นแค่คนนอก ไม่จำเป็นต้องกังวลมากมายขนาดนั้น”
เมื่อได้ยินคำว่า “สามีของข้า” รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินจิ่วชิงก็แข็งทื่อไป
ความเย็นชาค่อยๆ แผ่ออกมาจากในแววตา
เขาจ้องมองนางอย่างเงียบเชียบ ในแววตามีประกายความเฉียบคมออกมาหลายส่วน
“เจ้าไม่ควรจะเลือกเขา”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ก็เย็นชาลง นางรู้สึกตลกกับเรื่องเหล่านี้เล็กน้อย
“นี่คือเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าเลย ประมุขตระกูลอี้ได้โปรดอย่าเสียเวลากับข้า ไม่ว่าอย่างใดข้าก็ไม่เห็นคุณค่าของมันหรอก แต่อาจจะตอบแทนเจ้าด้วยมีดสักเล่ม ใช้เวลาตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่ พวกเรารีบบอกลากันเถอะ หากคุยกันต่อไปอาจจะต้องมีการนองเลือดได้ มันอาจจะทำให้ประตูสวรรค์และเส้นทางดวงดาวสกปรกได้ แบบนั้นคงไม่ดีแน่”
จวินจิ่วชิงมองตามแผ่นหลังของนาง เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง กำหมัดแน่น
“ท้ายที่สุดเจ้าจะรู้ว่า เขาก็คือคนบ้าคนหนึ่ง!”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้า นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หันศีรษะเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันกายกลับมา
“ต่อให้เขาเป็นเช่นนั้น แล้วมันจะเหตุใด?”
จวินจิ่วชิงรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อติดอยู่ในลำคอ
“เจ้า…”
“ข้าตัดสินใจจะแต่งงานกับเขาแล้ว แน่นอนว่าข้าจะต้องเชื่อใจเขา ปกป้องเขา ยอมสละทั้งหัวใจมอบให้เขา แต่เจ้า ประมุขตระกูลอี้ ใต้หล้านี้มีแม่นางมากมาย ไม่ว่าแม่นางแบบไหนก็มีทั้งหมด แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องยึดติดกับข้าด้วย?”
“สิ่งที่ข้าพูดก็มีเท่านี้ ประมุขตระกูลอี้โปรดรักษาตัวด้วย”
เมื่อพูดจบ ฉู่หลิวเยว่ก็สาวเท้าเดินจากไป
ลมพัดผ่านเล็กน้อย ทำให้เส้นผมและชายเสื้อของนางปลิวไสว
กระจ่างใส งดงาม ทว่าไกลเกินเอื้อม
รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของจวินจิ่วชิงจางหายไปแล้ว
ร่างนั้นหายลับไปกับสายตาอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปนาน คนที่อยู่ด้านหลังก็สบสายตากัน ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นเสียงต่ำว่า
“ท่านประมุข พวกเราควรไปแล้ว”
จวินจิ่วชิงถอนสายตากลับมา
“ควรจะไปที่ใด พวกเจ้าน่าจะรู้ชัดเจนอยู่แล้ว”
พวกเขาทั้งหลายโค้งคำนับ “ขอรับ”
จวินจิ่วชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์
 
                                         
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
		 
         
                                     
                                     
                                     
                                     
		 
		 
		 
		