ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2258 เขาไม่รู้
ความแม่นของหมัดทั้งสองข้างของอี้เจา
มู่ตงโหย่วพูดขึ้นอีกว่า
“สายเลือดบริสุทธิ์นี้ เหมือนกับบรรพบุรุษเผ่าหงส์ทองคำไม่มีผิด เมื่อถึงเวลานางก็จะสามารถทะลวงเส้นชีพจรเส้นที่เก้าได้ อี้เจา หากเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้นางยอมจำนนได้ ข้ารับประกันเลยว่า ข้าจะละเว้นเผ่าหงส์ทองคำ”
“แม้จะไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เจ้าก็ต้องพิจารณาถึงคนในเผ่าของเจ้าด้วย?”
“เจ้าคิดว่า เจ้าจะสามารถปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงไปได้นานแค่ไหน? ด้วยพลังสายเลือดในร่างกายของเจ้า ตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว หากผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ไม่ต้องถึงมือข้า ม่านพลังนั้นก็จะสลายตัวอย่างอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลานั้นเผ่าหงส์ทองคำก็จะต้องตกอยู่ในความยากลำบากใช่หรือไม่?”
มู่ตงโหย่วจ้องมองไปที่อี้เจาตาเขม็ง
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดอี้เจาก็หัวเราะออกมา น้ำเสียงของเขาเย็นชาและประชดประชัน
“เผ่าหงส์ทองคำของข้า…ไม่เคยก่อความผิดใดๆ? คนที่ผิดคือใคร พวกเจ้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ!”
มู่ตงโหย่วมีใบหน้ามืดครึ้ม เขาพูดเตือนเสียงเข้มว่า
“อี้เจา!”
แต่เหมือนอี้เจาจะไม่สังเกตเห็นถึงความโกรธในน้ำเสียงของเขาเลย หรือบางทีเขาอาจจะไม่ใส่ใจ
“การตัดสินใจของบรรพบุรุษก็เป็นการตัดสินใจของเผ่าเรา! มู่ตงโหย่ว บางสิ่งที่พวกเจ้าต้องการทำ มันขัดกับเจตนาของเผ่าหงส์ทองคำของเรา ดังนั้นเราจะไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด!”
“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องมาเปลืองแรงโน้มน้าวใจข้าแบบนี้หรอก ไม่ต้องพูดคำพูดไร้สาระที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นออกมา ไม่ว่าต้องลับฝีปากขนาดไหน หรือพูดซ้ำไปซ้ำมาเป็นหมื่นเป็นพันครั้ง คำตอบของข้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง! ต่อให้พูดมากแค่ไหน มันก็ทำให้ข้ารู้สึกตลกพวกเจ้ามากยิ่งขึ้น”
มู่ตงโหย่วมีสีหน้าเย็นชา แล้วยกมือขึ้น!
พรึ่บ…
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นคละคลุ้งและค่อยๆ แผ่กระจายออกไป
ทัณฑ์สวรรค์สีทองโดยรอบเหมือนสัมผัสกับอันใดได้บางอย่าง ดังนั้นมันจึงมีท่าทีกระสับกระส่ายขึ้นมา
มู่ตงโหย่วแค่นหัวเราะเสียงเย็น พวกมันค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
จากนั้นหยาดเลือดที่มีขนาดเท่าดวงตามังกรก็ไหลมารวมกันอยู่ตรงหน้าตรงหน้าของมู่ตงโหย่ว
ภายในกองเลือดเหล่านั้นมีแสงสีทองส่องประกายที่อ่อนแสงออกมา…
มู่ตงโหย่วเหลือบสายตามองแล้วขมวดคิ้ว
แม้อี้เจาจะเป็นประมุขของเผ่าหงส์ทองคำ และสามารถเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดได้แล้ว แต่เขาก็ถูกขังที่นี่เป็นระยะเวลานานเกินไป ไม่ว่าพลังแห่งสายเลือดจะมีจำนวนมากขนาดไหนแต่มันก็มีช่วงเวลาที่เหือดแห้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในตอนแรกแล้ว พลังแห่งสายเลือดในกองเลือดกลุ่มนี้ก็เลือนรางมากเกินไป และมันยังมีพลังไม่ถึงหนึ่งในห้าส่วนด้วยซ้ำ
พรึ่บ
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นจากริมฝีปากของอี้เจา
“หากพวกเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ”
“ดื้อดึงไม่รู้ความ!”
มู่ตงโหย่วกัดฟันกรอด จากนั้นก็เก็บกองเลือดกลุ่มนั้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป
อี้เจาคนนี้เป็นผู้ชายที่ดื้อรั้นจริงๆ !
เวลาผ่านมานานมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอันใดเขาได้ อีกทั้งยังไม่มีวี่แววที่จะยินยอม
อี้กงคนนั้น แม้เชื่อฟัง แต่ก็เป็นแค่คนทรยศคนหนึ่ง ไม่สามารถใช้ซ้ำได้
หากอี้กงก็สามารถเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดได้ เขาก็ยังจะพอพิจารณาได้ แต่น่าเสียดาย…
มู่ตงโหย่วสาวเท้าไปด้านหน้า
ไม่ว่าเขาจะผ่านไปที่ใด ทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่โดยรอบก็เปิดทางให้ทันที
ตึงๆ
ตึงๆ
เดิมทีมู่ตงโหย่วก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงเหล่านั้น เขาก็รู้สึกรำคาญมากกว่าเดิม
“ใคร!”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ
เดิมทีซื่อจิงกำลังตั้งใจสำรวจสถานการณ์บริเวณโขดหิน ดังนั้นจึงไม่สังเกตว่ามีคนเข้ามาใกล้
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เขาจึงสะดุ้งตัวโหยงแล้วรีบหันกลับไปมอง
“เจ้าคือ…”
ซื่อจิงกวาดสายตาสำรวจฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที
“เสินสื่อลำดับที่สี่?”
มู่ตงโหย่วขมวดคิ้ว
“เจ้าคือใคร? มาทำอันใดที่นี่?”
มู่ตงโหย่วประสานหมัดทำความเคารพ
“ข้าน้อยคือซื่อจิง ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ เพื่อ…อยากจะยืมพลังจากทัณฑ์สวรรค์เพื่อหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง”
มู่ตงโหย่วจ้องหน้าเขาด้วยความสงสัย
ท่าทางเมื่อครู่นี้ของเขาแปลกประหลาดเล็กน้อย
ซื่อจิงเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็ลองหยั่งเชิงถาม
“เสินสื่อลำดับที่สี่ ที่นี่…ไม่สามารถเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ?”
เขาเคยได้ยินจากนายท่านมาแล้วว่า ก้นบึ้งของสระอัสนีบาตเป็นสถานที่ต้องห้าม ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
ดังนั้นเขาจึงอยู่เพียงรอบนอกเท่านั้น
“หรือว่า…เมื่อครู่นี้ข้าได้ทำอันใดผิดไป?”
ซื่อจิงมักจะมีนิสัยกล้าหาญและหยาบกระด้าง แต่ทุกเรื่องที่เขาทำนั้นละเอียดรอบคอบมาก
ไม่อย่างนั้นเฉินอีไม่มีทางเลือกให้เขาอยู่ป่าหมอกมายา
หลังจากเงียบเสียงไปสักพักหนึ่ง มู่ตงโหย่วก็พูดขึ้นมาว่า
“ไม่มีอันใด”
ความจริงแล้วมีคนเข้ามาที่สระอัสนีบาตจำนวนมาก ไม่ว่าจะทำเรื่องอันใด เขาก็เคยเห็นมาหมดแล้ว
สิ่งที่ซื่อจิงทำตรงหน้านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วก็นับว่าไม่ใช่เรื่องอันใด
เพียงแต่ในตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วบังเอิญเจอกับอีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าซื่อสัตย์จริงจังของอีกฝ่าย
ความสงสัยภายในใจของมู่ตงโหย่วก็จางหายไป ทันทีที่เงาร่างของเขาขยับ เขาก็มุ่งหน้าเดินทางไปด้านหน้าอีกครั้ง
ซื่อจิงมองตามเขาจนลับสายตาไป จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมามองตรงโขดหินที่ขรุขระเหล่านี้
“จุ๊ๆ เหมือนว่าเสินสื่อลำดับที่สี่จะยังไม่รู้ความลับของสถานที่แห่งนี้…”
เขาเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลสระอัสนีบาตแห่งนี้เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ? คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้เขาก็ยังไม่รู้?
ซื่อจิงเกาศีรษะ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างไม่ถูกต้อง
…
อีกด้านหนึ่ง น้องแปดกำลังจัดเรียงโอสถอยู่ในห้องของตัวเอง
กลิ่นยาเข้มข้นคละคลุ้งไปทั่วห้องแห่งนี้ จนแทบจะกระจายไปทั่วทั้งเรือน
หัวซวงซวงกับเฉินอีกำลังนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ในเรือน
เมื่อสังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหว หัวซวงซวงก็เหลือบสายตามองไปทางนั้นด้วยความประหลาดใจ
“พี่ใหญ่ น้องแปดเป็นอันใดไปหรือ เหตุใดช่วงนี้ดูเหมือนว่านางจะขยันขึ้น?”
หลังจากที่นายท่านจากไป นางก็หอบสมุนไพรจำนวนมากมา หมกตัวอยู่ในห้อง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกมา
เมื่อดูจากนิสัยของน้องแปดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก
เฉินอีมีสีหน้าราบเรียบ แม้กระทั่งเปลือกตาก็ยังไม่ยกขึ้น
“นายท่านทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์เซียนหมอแล้ว แต่นางยังอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์โอสถ หากพูดออกไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่”
ในเวลาปกติแล้วน้องแปดดูเป็นคนที่ผ่อนคลาย แต่ก็สามารถจัดการเรื่องใหญ่ได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เมื่อถูกทิ้งออกไปไกล ดังนั้นจึงเริ่มโกรธและต้องการจะพัฒนาฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้น
หัวซวงซวงเข้าใจได้ในทันที
“มิน่าล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรตัวหนึ่งก็ดังขึ้นจากในระยะไกล
หัวซวงซวงเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็เห็นว่าอสูรปีกทองกระดูกดำกำลังบินมาทางนี้
ลักษณะของมันเหมือนอินทรีย์เหมือนแร้ง ร่างกายสีดำทมิฬทั้งตัว มีเพียงปีกทั้งสองข้างที่เป็นสีทองหม่น เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์มันจะเปล่งประกายแสงระยิบระยับ
หัวซวงซวงจ้องไปทางนั้น และเห็นว่าบนปีกของมันมีบาดแผล อีกทั้งเลือดกำลังไหลออกมา จนทำให้เห็นกระดูกสีขาว
แววตาของมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ด้านหลังของมันมีลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวหนึ่งที่กำลังไล่ตามมาด้วยความเร็วสูง!