ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2259 หากนางต้องการเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 2259 หากนางต้องการเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
………………..
ดูจากท่าทางแล้ว สัตว์อสูรทั้งสองเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมา
อสูรปีกทองกระดูกดำเป็นฝ่ายสู้ไม่ได้แล้วหนีหัวซุกหัวซุนมา แต่มันก็ถูกลูกครึ่งแร้งวิเศษไล่ตามมาด้วยความเร็วสูง อีกทั้งยังกัดไม่ปล่อย พร้อมติดตามมาอย่างใกล้ชิด
ความจริงแล้วสัตว์อสูรทั้งสองตัวอยู่ในระดับเดียวกัน
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ลูกครึ่งแร้งวิเศษถึงได้ดูโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ ทั่วทั้งร่างกายแผ่กระจายไอเย็นยะเยือก
สายตาของมันนั้นเต็มไปด้วยความดุร้าย ท่าทางกระหายเลือด อีกทั้งยังมีร่องรอยของการหยอกล้อกับเหยื่อของตนเองด้วย
บางทีก็บินช้า บางทีก็บินเร็ว
ไม่ว่าเมื่อใดที่รู้สึกว่าอสูรปีกทองกระดูกดำสามารถหนีตนเองได้สำเร็จ มันก็จะเร่งความเร็วสูงขึ้น แต่เมื่อมันไล่ตามทันแล้ว มันก็ผ่อนความเร็วให้ช้าลง
หลังจากผ่านไปหลายครั้ง อสูรปีกทองกระดูกดำก็มีความคิดที่จะยอมแพ้ อีกฝ่ายก็ยังให้ความหวังเล็กๆ ทำให้พยายามหนีอย่างเต็มกำลัง
แต่มันรู้ดีว่ามันไม่สามารถหนีได้เลย หลังจากหนีมาเป็นระยะเวลานาน แต่มันก็อยู่ในระยะไล่ล่าของศัตรูตลอดเวลา
ทำให้เส้นประสาทของอสูรปีกทองกระดูกดำตึงเครียด จนแทบจะระเบิด
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หัวซวงซวงก็ขมวดคิ้วมุ่น ความรังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นตั้งใจ”
สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจกันดี
ภายในหมู่สัตว์อสูรก็สามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นออกจะน่ารังเกียจไปเสียหน่อยที่มันกำลังหยอกล้อกับศัตรูด้วยกรงเล็บของตัวเอง
เขาลุกขึ้นยืน เขาเอานิ้วสองนิ้วจากมือขวามาวางอยู่ที่ริมฝีปากของตัวเอง จากนั้นก็เป่าเป็นเสียงนกหวีดออกไป!
เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ อสูรปีกทองกระดูกดำก็รีบหันลงมามองทันที
จากนั้นมันก็พุ่งตัวมาหาหัวซวงซวงด้วยความเร็วสูงอย่างไม่ลังเล!
กร๊อบ…
มันส่งเสียงครวญครางเสียงต่ำ ลมหายใจโรยริน อาศัยเพียงเจตจำนงเฮือกสุดท้ายเพื่อคว้าแขนของหัวซวงซวงเอาไว้
หัวซวงซวงก้มหน้ามองมัน คิ้วขมวดมุ่น มือข้างหนึ่งหยิบยาออกมาแล้วป้อนให้มัน
อสูรปีกทองกระดูกดำกลืนยาเม็ดนั้นลงไปโดยไม่มองแม้แต่น้อย
หากคนอื่นเห็นภาพเหตุการณ์นี้เขาจะต้องตกใจอย่างมากแน่นอน
พวกสัตว์อสูรมีนิสัยระวังตัวมาก และมีความเป็นปรปักษ์ต่อมนุษย์โดยสัญชาตญาณ
โดยเฉพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันจะระวังตัวเป็นพิเศษ และไม่มีความไว้วางใจต่อมนุษย์เลย
แต่ในตอนนี้อสูรปีกทองกระดูกดำกลับบินตรงเข้ามาหาหัวซวงซวง อีกทั้งยังกินสิ่งที่เขามอบให้อย่างไม่ลังเล
เหมือนว่า…มันไม่รู้สึกกังวลเลยหากหัวซวงซวงจะฉวยโอกาสวางยาพิษ ในทางตรงกันข้ามมันกลับฝากชีวิตไว้ให้เขาด้วยความวางใจ
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
เมื่อลูกครึ่งแร้งวิเศษเห็นดังนั้น ในแววตาของมันก็มีประกายจิตสังหารปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่มันกำลังจะพุ่งตัวเข้ามาโจมตี เฉินอีก็เงยหน้าขึ้นไปมอง
เขามีสีหน้าราบเรียบ สายตาเมินเฉย ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ยากเกินหยั่งถึง
แรงกดดันที่มองไม่เห็นพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา!
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย ในที่สุดลูกครึ่งแร้งวิเศษก็หยุดลง ภายในใจของมันมีความตื่นตระหนกและหวาดกลัวเพิ่มขึ้น!
ไม่สามารถเข้าใกล้…สถานที่แห่งนี้ได้เลย!
แต่หากจะให้มันปล่อยอาหารที่คาบอยู่ในปาก มันก็รู้สึกไม่ยินยอม
เพื่อสังหารอสูรปีกทองกระดูกดำตัวนี้มันต้องพยายามอย่างมาก!
แต่ตอนนี้…ความพยายามเหล่านั้นสูญเปล่าแล้ว!
มันวนเวียนอยู่รอบๆ เรือนแห่งนี้ ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ แต่มันก็ไม่ยอมจากไป
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองทางเฉินอี
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ชอบลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นมาก”
เฉินอีพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“นั่นเป็นสัตว์ของจวินจิ่วชิง หากเจ้าไม่ชอบก็เป็นเรื่องปกติแล้ว”
หัวซวงซวงชะงักไป จากนั้นก็หันกลับไปมองอีกครั้ง และเขาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน
“อย่างนี้นี่เอง ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าภายในร่างกายของมันมีพลังจำนวนมากผสมปะปนกันอยู่…”
เขาเคยได้ยินชื่อของจวินจิ่วชิงมาก่อน
แต่คนผู้นี้ไม่มีพันธสัญญาสัตว์อสูร แต่เขากลับเลี้ยงเอาไว้ข้างกายจำนวนไม่น้อย ทั้งยังชอบให้มันอยู่ด้วยกัน และทะเลาะกันฆ่ากันตาย
ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดถึงจะกลายเป็นตัวโปรดของเขา
แต่มันก็เป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หากมีตัวที่แข็งแกร่งตัวใหม่ปรากฏขึ้น เขาก็จะเปลี่ยนตัวทันที
เหตุผลที่ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนี้มีพลังที่ผสมปนเป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า เป็นเพราะมันกลืนกินพลังของสัตว์อสูรแตกต่างชนิดกัน
แน่นอนว่าอาจจะมีมนุษย์ด้วย
“ช้าก่อน อสูรศักดิ์สิทธิ์ของจวินจิ่วชิง เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เฉินอีหน้าไม่เปลี่ยนสี
“แน่นอนเพราะว่า เขาก็มาแล้ว”
“เขามา…”
หัวซวงซวงกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าเงาร่างร่างหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้
“ข้าเห็นว่าไม่ยอมกลับไปเสียที ที่แท้เจ้าก็มาอยู่ที่นี่นี่เอง”
น้ำเสียงเกียจคร้านและกำเริบเสิบสานดังขึ้น
คนผู้นั้นคือจวินจิ่วชิงนั่นเอง
มันติดตามจวินจิ่วชิงมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นจึงสามารถฟังออกว่าในน้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความรำคาญและหมดความอดทน
มันเก็บปีกทั้งสองข้างและก้มหัวลงเล็กน้อย
จวินจิ่วชิงไม่มองมันเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจดจ้องไปทางเฉินอี
ทั้งสองคนประสานสายตากัน
ในขณะนั้น แม้กระทั่งบริเวณอากาศโดยรอบก็แข็งตัวไป
แต่หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง จวินจิ่วชิงก็เบนสายตาออก แล้วหันไปมองทางหัวซวงซวงและอสูรปีกทองกระดูกดำ
“นั่นคือของเล่นที่เสินสื่อลำดับที่สองมอบมาให้ แต่ดูเหมือนว่า พวกเจ้าคงจะสนใจมันไม่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะยกให้พวกเจ้าก็แล้วกัน”
หัวซวงซวงขมวดคิ้วขึ้น
คำพูดของจวินจิ่วชิงคนนี้ เหตุใดดูเหมือนเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสินสื่อลำดับที่สอง
จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าเหล่าเสินสื่อล้วนมีนิสัยหยิ่งผยอง
แต่ตอนนี้ เหมือนว่าพวกเขาจะให้ความเกรงใจต่อจวินจิ่วชิงมาก
อสูรศักดิ์สิทธิ์หนึ่งตัว แค่บอกว่าจะมอบให้ก็มอบให้ได้ง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ?
มีใครไม่รู้บ้างว่านี่เป็นการให้อาหารลูกครึ่งแร้งวิเศษ?
แม้อสูรปีกทองกระดูกดำจะไม่สามารถเทียบกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลได้ แต่มันก็ยังเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง
ไม่รู้ว่าเสินสื่อลำดับที่สองกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่…
“จริงสิ ได้ยินมาว่านางกลับไปแล้ว?”
จวินจิ่วชิงถอนหายใจออกมาเสียงเบา นิ้วเรียวลากระหว่างคิ้ว
“เหมือนว่าจะกลับไปเชิญช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์มาสินะ น่าจะเพื่อเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ความจริงข้าเคยบอกนางไปแล้ว ข้าสามารถพานางเข้าไปได้ น่าเสียดาย แต่นางไม่ยินยอม ดังนั้นจึงต้องเปลืองแรงมากขนาดนี้”
หัวซวงซวงหัวเราะเสียงเย็น
“นายท่านของข้าอยากทำอันใดมันเกี่ยวกับเจ้าหรือไง? ประมุขตระกูลอี้สนใจแค่เรื่องของตัวเองก็พอนะขอรับ!”
แววตาของจวินจิ่วชิงเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น มุมปากยังคงประดับรอยยิ้ม คิ้วกระบี่ยกขึ้นเล็กน้อย
“ข้าแค่รู้สึกว่าการที่นางใกล้เกลือกินด่าง มันเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร”
“ประมุขตระกูลอี้”
เฉินอีลุกขึ้นอยู่ในทันที
“หากนายท่านข้าต้องการจะเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ นางก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือของท่าน เรื่องนี้ท่านไม่รู้หรอกหรือ?”
………………..