ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2260 เสินสื่อลำดับที่หนึ่ง
ตอนที่ 2260 เสินสื่อลำดับที่หนึ่ง
………………..
ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของจวินจิ่วชิง ในที่สุดก็ค่อยๆ จางหายไป
เขาจ้องหน้าเฉินอีอยู่สักพัก แต่ไม่ได้พูดอันใดอีก จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ลูกครึ่งแร้งวิเศษติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าเงาร่างของพวกเขาลับสายตาไปแล้ว หัวซวงซวงก็ขมวดคิ้วแล้วหันมองทางเฉินอี
“พี่ใหญ่ จวินจิ่วชิงคนนั้นมีฐานะเป็นอันใดกันแน่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสนิทชิดเชื้อกับเสินสื่อ”
ด้วยการปฏิบัติแบบนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว เหมือนจะดีกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า
เฉินอีพูด
“แน่นอนว่าเขาเป็นประมุขตระกูลอี้”
หัวซวงซวงเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
“ตระกูลอี้ที่พูดถึง…”
เปรี้ยง!
ระลอกคลื่นพลังที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากภายในห้องอย่างกะทันหัน!
ทั้งสองคนหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง
เปรี้ยง!
ประตูถูกพลังบางอย่างเปิดออกมาด้วยความรุนแรง ควันสีขาวหนากระจายออกมาจากด้านใน
จากนั้น น้องแปดก็สาวเท้าออกจากห้องด้วยความรีบร้อน
“แค่กๆ …แค่ก…แค่กๆ !”
น้องแปดวิ่งออกมา พร้อมโบกมือไล่ควันเหล่านั้น
ในที่สุดนางก็มาถึงกลางเรือนได้อย่างยากลำบาก ก่อนผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หัวซวงซวงขยับตัวเข้ามาใกล้ น้องแปดเงยหน้าขึ้นมาทันที ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะไป
เขาเห็นใบหน้าของน้องแปด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีคราบเขม่าสีดำ และดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ท่าทางของนางดูหมดสภาพมาก
มุมปากของหัวซวงซวงกระตุกขึ้น
“น้องแปด เจ้าทำอันใดเนี่ย เจ้าจะพังบ้านอย่างนั้นหรือ?”
น้องแปดส่ายหน้าด้วยท่าทางน่าสงสาร
“ที่ไหนกันเล่า? ข้าแค่อยากจะลองว่าจะสามารถหลอมโอสถระดับปรมาจารย์เซียนหมอได้หรือไม่ แต่ข้าไม่ทันระวัง…”
หัวซวงซวงได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจออกมา
“เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนไปไม่ได้ พรสวรรค์ของเจ้านั้นดีมาก ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เจ้าทำสำเร็จได้อยู่แล้ว…”
น้องแปดส่ายหน้า
“พี่รองเข้าใจผิดแล้ว ข้าหลอมสำเร็จแล้วนะ”
เมื่อพูดจบ นางก็หยิบกล่องใบหนึ่งที่ขาดรุ่งริ่งออกมา
“เพียงแต่ว่าโอสถเม็ดนี้มีพลังมากเกินไป เตาหลอมของข้าไม่สามารถรับไว้ ดังนั้นมันจึงระเบิดออกมาเช่นนี้ แม้กระทั่งกล่องก็ยังถูกทำลายเช่นกัน”
นางรู้สึกปวดใจมาก
“แต่นี่คือกล่องหยกที่ข้าเพิ่งเลือกเอาไว้เมื่อสามชั่วยามก่อนเอง! เดิมทีข้าตั้งใจจะบรรจุโอสถระดับปรมาจารย์เซียนหมอเม็ดแรกที่ข้าหลอม แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?”
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนที่เตาหลอมระเบิด หัวใจของนางนั้นเต้นแรงขนาดไหน
หัวซวงซวงเบิกตากว้างขึ้น จากนั้นก็หันไปมองทางกล่องหยก เขาเงียบไปสักพักหนึ่ง
ในทางกลับกันเฉินอียื่นมือไปรับโอสถเม็ดนั้นไปสำรวจ
แม้กล่องหยกจะพังไปแล้ว แต่ยังดีที่โอสถด้านในไม่เป็นไร
นอกจากนี้ยังหมายความว่า…น้องแปดอยู่ในระดับปรมาจารย์เซียนหมอแล้ว!
“พอถูไถ”
เฉินอีเหลือบมองสายตาคู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นกล่องนั้นให้กับน้องแปด
“เดี๋ยวข้าจะซื้อเตาหลอมที่ดีกว่านี้ให้เจ้า จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”
หัวซวงซวงมองเขา เหมือนว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
น้องแปดทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์เซียนหมอได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปจะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยอิจฉาริษยานางอย่างแน่นอน
แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงพูดว่า “พอถูไถ” ได้ล่ะ?
เหมือนน้องแปดจะสามารถคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดแรง แล้วเก็บกล่องหยกไป
“รู้แล้ว แต่พี่ใหญ่ เรื่องนี้ให้ข้าไปนอนก่อนแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย”
เพื่อการหลอมโอสถเม็ดนี้ นางอดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว
ตอนนี้นางสามารถหลอมโอสถสำเร็จได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นนางจึงอยากอาบน้ำให้สบายกาย จากนั้นก็นอนไปสามวันสามคืน
เมื่อพูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกมาทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
หัวซวงซวงมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“อสูรปีกทองกระดูกดำตัวนั้น เจ้าตั้งใจจะเลี้ยงเอาไว้เอง หรือว่าจะส่งกลับไป?”
เฉินอีถาม
หัวซวงซวงดึงสติกลับคืนมา แล้วหลุบตามองต่ำ
อสูรปีกทองกระดูกดำตัวนั้นเหมือนจะกลัวว่าจะถูกเขาทิ้ง ร่างกายของมันจึงสั่นสะท้านเล็กน้อย
หัวซวงซวงถอนหายใจออกมา
“เลี้ยงไว้ก็แล้วกัน”
…
“เข้ามา”
ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นเดินเข้ามาตามคำพูดของเขา
มันสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างกายของจวินจิ่วชิง นอกจากนี้มันยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจลึกๆ ด้วย
“มันเป็นเพียงแค่อสูรปีกทองกระดูกดำธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เจ้ากลับใช้เวลามากขนาดนี้”
น้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์ มีเพียงความเย็นยะเยือกที่เสียดแทงกระดูก
ความรู้สึกถึงอันตรายที่จับขั้วหัวใจ ลูกครึ่งแร้งวิเศษเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็สยายปีกขึ้น ก่อนหมุนตัวแล้วรีบหนีไป!
แต่มันยังไม่ทันได้ขยับเขยื้อน ลำแสงสีเงินก็พุ่งออกมา…ตู้ม!
สมองของมันระเบิดในทันที!
ประกายเพลิงลุกโชนขึ้น จากนั้นก็กลืนกินศพของมันอย่างรวดเร็ว!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที
ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวนั้นก็ตายไปโดยไม่ทิ้งกระดูกเอาไว้
“มันก็แค่เล่นสนุก เจ้าไร้ความปรานีมากเกินไปแล้ว ทั้งยังฆ่ามันอย่างไม่เหลือเยื่อใยเลย”
น้ำเสียงอ่อนโยนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้นมอง
คนที่มาใหม่เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเท่านั้น
“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ลูกครึ่งแร้งวิเศษตัวหนึ่ง มีอันใดให้น่าเสียดายกัน”
จวินจิ่วชิงหัวเราะหนึ่งเสียง
“มันไม่ใช่ทั้งหงส์ทองคำ และไม่ใช่ไท่ซวีเฟิ่งหลง ข้าคิดว่าเสินสื่อลำดับที่สองไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”
อวี้เชียนเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะพูด อสูรศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นสิ่งล้ำค่ามาก หากมันต้องสิ้นชีพเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย”
หากอวี้เชียนใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ ละก็ ตอนนี้เขาคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้หรอก
อวี้เชียนพูด
“ที่ข้ามาที่นี่ เพราะข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
จวินจิ่วชิงพยักหน้า
“เชิญเสินสื่อลำดับที่สอง”
อวี้เชียนสาวเท้าขึ้นมาหนึ่งก้าว
“ข้าได้ยินมาว่าซั่งกวนเยว่คนนั้น มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาสองตัว ตัวหนึ่งคืออินทรีสามตา ส่วนอีกตัวหนึ่ง…ตอนนี้คือนายน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำ?”
คิ้วของจวินจิ่วชิงขยับขึ้นเล็กน้อย
“เสินสื่อลำดับที่สองต้องการจะถามอันใดกันแน่?”
“เจ้าเพียงตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น”
ใบหน้าของอวี้เชียนประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ
…
อีกแห่งหนึ่งภายในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์
จิ้นอวิ๋นไหล่กำลังจัดเรียงรายชื่อภายในห้อง แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือชูจิ้ง คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
หลังจากที่ชูจิ้งถูกตำหนิในที่สาธารณะครั้งล่าสุด นางก็เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมออกมาพบผู้คน
แม้ว่าจะกลับมาที่พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่นางก็รีบไปรีบมา เจียมเนื้อเจียมตัว
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
เขาปิดหนังสือรายชื่อ จากนั้นก็เก็บขนนกสีทองคำชาดขึ้น
ชูจิ้งกวาดสายตามองไปโดยรอบ
“ที่ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะ”
“เรื่องอันใด?”
ชูจิ้งชะงักไป ใบหน้าเผยความลังเล
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็ยังคงสาวเท้าขึ้นมาด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง นางเดินมาตรงหน้าจิ้นอวิ๋นไหล่แล้วถามเสียงเบาว่า
“ช่วงนี้ เจ้าเห็นเสินสื่อลำดับที่หนึ่งหรือไม่?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ขมวดคิ้ว
“เจ้าไปเจอมาหรือ?”
ชูจิ้งกัดริมฝีปากแน่น
“เขาไม่ยอมให้ข้าเข้าพบ”
………………..