ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2264 อัญเชิญ
ผู้ที่มาใหม่นั้นคือชูจิ้ง
เดิมทีนางต้องการจะเดินทางไปที่ยอดเขาโอสถ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเปิดประตูออกมาจะเจอกับฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านหน้า
เมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย ชูจิ้งก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ซั่งกวนเยว่ เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
เนื่องจากความหวาดกลัวภายในใจ ดังนั้นน้ำเสียงและท่าทางของนางจึงดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
แต่อาจจะเป็นเพราะว่ารอบข้างไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย สายตาที่แฝงความรำคาญและหมดความอดทนก็ยังปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้ถือสา นางพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“คารวะเสินสื่อลำดับที่แปด ที่ข้ามาเพราะต้องการส่งท่านซูเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
“ท่านซู?”
ชูจิ้งเหลือบสายตาไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นซูหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างของฉู่หลิวเยว่
“ระดับเทพขั้นสูง?”
นางขมวดคิ้วแน่นขึ้น
“ซั่งกวนเยว่ เจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่า หากต้องการเข้ามาในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีเงื่อนไขอันใดบ้าง?”
คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถลากเทพขั้นสูงธรรมดาคนหนึ่งมาที่นี่ แล้วบอกว่าต้องการเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์?
คิ้วเรียวบางของซูหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย
นี่กำลัง…ดูถูกนางอยู่หรือ?
แม้ว่านางจะอารมณ์ดีมาโดยตลอด แต่นางก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้จะเคยรังแกเสี่ยวเยว่เออร์มาก่อนด้วย
“ธรณีประตูของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์นี่สูงจริงๆ เลยนะ คาดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้?”
“เหตุใด ข้าดูไม่เหมือนหรืออย่างใด?” มุมปากของซูหลียกยิ้มขึ้น
ชูจิ้งพูดอันใดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นว่า
“เรื่องที่ข้าเชิญท่านซูมานี้ เสินสื่อลำดับที่เจ็ดเองก็ทราบดี หากไม่เชื่อเสินสื่อลำดับที่แปด ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามกันเอาเองก็แล้วกัน”
สีหน้าชูจิ้งย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้นางเพิ่งทะเลาะกับจิ้นอวิ๋นไหล่มา แล้วจะให้ไปถามตอนนี้ได้อย่างใด?
“ไม่ต้อง”
นางหมุนตัวกลับไปปิดประตูใหญ่อีกครั้ง แล้วหันกลับมามองทั้งสองคนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หากเป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ก็สามารถเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้นมา
“เสินสื่อลำดับที่แปดหมายความว่า พวกเราสามารถเปิดบานประตูบานนี้เข้าไปได้เลยสินะ?”
“หากเป็นคนที่มีคุณสมบัติเข้าไปในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็จะสามารถเปิดบานประตูบานนี้ได้อยู่แล้ว”
ชูจิ้งพูด จากนั้นก็หมุนตัวจากไปเหมือนไม่ต้องการสนทนามากความกับนางอีก
ซูหลีหันกลับไปมองหน้านาง
“เสินสื่อลำดับที่แปดผู้นี้เย่อหยิ่งจองหองเสียจริง…”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเคยชินมาตั้งนานแล้ว
“เสินสื่อของที่นี่ล้วนเป็นเช่นนี้กันหมด เพียงแต่ว่า นางถือว่าเป็น ‘คนที่หยิ่งทระนงมากที่สุดในบรรดาพวกเขาแล้ว’ ท่านซู ประตูบานนี้ท่านสามารถเปิดออกหรือไม่?”
ซูหลีถอนสายตากลับมา แล้วมองไปทางประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทตรงหน้า
“น่าจะไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่า…”
นางชะงักไปเล็กน้อย บนใบหน้าของนางมีประกายลังเลปรากฏขึ้น
นางเคยได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดถึงมาก่อนหน้านี้แล้ว ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เหมือนกับหอที่ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าของทะเลทรายจันทราสีชาดไม่มีผิด ดังนั้นนางจึงเตรียมใจเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่หลังจากที่นางมาถึงที่นี่จริงๆ และเมื่อเห็นพระราชวังแห่งนี้อย่างชัดเจน ในใจของนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
นางครุ่นคิด จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“เสี่ยวเยว่เออร์ เจ้าเคยลองเข้าไปมาก่อน”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่เหมือนกัน”
ซูหลีมองหน้านาง ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ
“ในเมื่อตอนแรกเจ้าสามารถเข้าไปได้โดยตรง บางทีที่นี่…ก็อาจจะเหมือนกัน?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ
ความจริงแล้วนางก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดภายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะพุ่งเป้ามาทางนั้นทั้งหมด
แต่นางก็ยังไม่เคยลองแผนการนี้
พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์มีคนมากมายตั้งขนาดนั้น ไม่ว่าจะในที่ลับที่แจ้งก็มีสายตาจำนวนไม่น้อยจ้องมองนางอยู่
ถ้านางต้องการจะเดินเข้าไปตรงๆ เกรงว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแน่นอน
และนั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการจะเห็นในตอนนี้
ดังนั้นเพื่อความระมัดระวัง นางจึงต้องเดินทางผ่านเส้นทางดวงดาว
ซูหลีมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง ทันใดนั้นก็เข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น…ให้ข้าลองเข้าไปก่อนแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
ซูหลีสาวเท้าไปด้านหน้าไม่กี่ก้าว ก่อนยื่นมือออกมา
จากนั้นนางก็วางฝ่ามือลงที่กลางประตูใหญ่ นางสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า เหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังสำรวจร่างกายของนางอยู่!
แอ๊ด…
ประตูบานใหญ่เปิดออก!
นางหันไปสบสายตาฉู่หลิวเยว่
“ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”
“ท่านซูระวังตัวด้วย”
ซูหลีพยักหน้าแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล
จากนั้นประตูบานใหญ่ก็ปิดสนิทอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่จ้องที่บานประตูบานนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ในตอนนั้นเอง ภายในตันเถียนของนางก็มีความผันผวนเกิดขึ้นเล็กน้อย
ไข่มุกธาราที่ลอยอยู่บนตันเถียนเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเหตุใด ระลอกคลื่นเหล่านั้นกระเพื่อมอย่างเงียบเชียบ
ประสาทสัมผัสของฉู่หลิวเยว่ตึงเครียด และนางพยายามจะระงับมันทันที!
นางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
เหมือนว่าเมื่อครู่นี้เป็นพลังสายหนึ่งที่กำลังอัญเชิญนางอยู่!
มือที่อยู่ภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นขึ้น นางยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีอันใดผิดปกติ นางจึงจากไป
…
ในขณะนั้น
ด้านหน้าจัตุรัสหยกดำที่ว่างเปล่า มีเงาร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ผู้นั้นก็คือ อวี้เชียน เสินสื่อลำดับที่สอง
สีหน้าของเขาตึงเครียดเล็กน้อย เขาจ้องไปทางจัตุรัสหยกดำที่อยู่ด้านหน้า ในแววตามีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก คาดไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะเกิดการเคลื่อนไหวเช่นนี้ด้วย
ซูหลีชะงักฝีเท้าในทันที พร้อมมองไปยังชายที่ปรากฏตัวตรงหน้าอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นหัวใจของนางก็ถูกบีบรัดจนแน่น แทบจะมาจุกอยู่ที่ลำคอ
ผู้ชายคนนี้…อันตรายมาก!
อีกทั้งเขายังมีความเป็นปรปักษ์ต่อนางอย่างชัดเจน!
แต่นางเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และไม่เคยเจอเขามาก่อนเลย ความเป็นปรปักษ์นี้มันมาจากที่ใดกัน?
“เจ้าคือใคร?”
อวี้เชียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ซูหลีสงบสติอารมณ์ ใบหน้าของนางยังคงราบเรียบ นางทำความเคารพ น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
“ซูหลี”
อวี้เชียนขมวดคิ้วขึ้น สายตาสำรวจใบหน้าของนาง สุดท้ายก็มองไปทางถวนซิ่นจื่อตรงเอวของนาง
“เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?”
“เจ้าค่ะ”
อวี้เชียนจ้องหน้านางอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“…ช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์?”
ซูหลีตกใจมาก
ปรมาจารย์หลอมอาวุธนั้นแตกต่างจากศาสตร์แขนงอื่น ระดับขอบเขตพลังของพวกเขานั้นจะถูกซ่อนเอาไว้จนลึก เดิมทีคนทั่วไปไม่สามารถมองออกได้
แต่ผู้ชายคนนี้กลับมองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
“เจ้าค่ะ”
นางพยักหน้า
จากนั้นความสงสัยภายในใจของอวี้เชียนก็ได้จางหายไป
ช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างแยกไม่ออก
นั่นหมายความว่า นางเป็นคนทำให้เกิดระลอกคลื่นเมื่อครู่นี้
“เดินตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่นั่นจะมีเสินสื่อลำดับที่ห้าคอยรับผิดชอบดูแลอยู่”
ซูหลีสามารถสัมผัสได้ว่าลมปราณอันตรายบนร่างกายของผู้ชายคนนี้ได้จางหายไปแล้ว นางรู้จักสับสน แต่ก็ไม่ได้ถามอันใดมาก
“ขอบคุณท่านเสินสื่อมาก”
แม้นางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในลำดับที่เท่าไร แต่เมื่ออยู่ภายในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีอำนาจขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะต้องเป็นเสินสื่อแน่นอน
อวี้เชียนกลับไปมองทางจัตุรัสหยกดำอีกครั้ง
เปลวเพลิงเหนือเสาหยกขาวหม่นแสงลงมากกว่าเดิมไม่น้อย
เขาจึงขมวดคิ้วขึ้น