ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2266 เดินเล่น
ตอนที่ 2266 เดินเล่น
………………..
เมื่อได้ยินเสียงของนาง คนทั้งหลายก็หันกลับไปมอง
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน แต่เมื่อมู่หยาเฟิงพูดขึ้น พวกเขาถึงได้พบว่า นางไม่อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
พวกเขาตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
คำพูดเมื่อครู่นี้ นางได้ยินหมดเลยหรือ?
ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ก่อนหน้านี้มู่หยาเฟิงก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีความหวังว่าจะเดินไปยังเส้นทางดวงดาวจนสุดทาง แต่ตอนนี้กลับมีคนแสดงผลงานได้ดีกว่าตัวเอง นางต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
พวกเขาต่างมองหน้ากัน ในที่สุดก็มีหนึ่งคนในจำนวนนั้นถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“มู่หยาเฟิง คำพูดเมื่อครู่นี้เจ้าหมายความว่าอย่างใด? หรือว่า…ซั่งกวนเยว่จะเคยเห็นค่ายกลเหล่านั้นมาก่อนจริงๆ ”
เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง
นางเพิ่งมาอยู่ที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานเอง
อีกทั้งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่นางมาอยู่ในตำแหน่งนี้ของเส้นทางดวงดาว
“เรื่องแบบนี้จะพูดมั่วซั่วไปไม่ดีนะ?”
อีกคนหนึ่งพูดกระซิบเสียงเบา
มู่หยาเฟิงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“มีอันใดไม่ดีกัน? ก่อนหน้านี้ตอนที่ทะลวงด่านค่ายกลระดับยอดราชันปรมาจารย์ นางเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่า บางส่วนในนั้นนางเคยเห็นมาก่อน?”
ทุกคนเงียบเสียงไป
ฉู่หลิวเยว่เคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ด้วย แต่…ค่ายกลระดับนั้นไม่สูงมาก บางตระกูลภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาก็อาจจะมีให้เห็นจำนวนไม่น้อย
เดิมทีเรื่องนี้ก็พูดอันใดไม่ได้มาก
ต่อให้นางเคยเห็นมาก่อน อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางจะได้เห็นทั้งหมด และนางไม่สามารถเห็นค่ายกลทุกค่ายที่อยู่บนเส้นทางดวงดาวได้แน่นอน
“พวกเจ้าคงไม่คิดว่า บนโลกนี้จะมีคนที่มองเพียงครู่เดียวก็สามารถเข้าใจค่ายกลระดับยอดราชันปรมาจารย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงของมู่หยาเฟิงราบเรียบ นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี
“เจ้าหมายความว่า…”
ใช่แล้ว
ต่อให้พรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่ยอดเยี่ยมเพียงใด นางก็ไม่มีทางทำเรื่องสะท้านสวรรค์แบบนี้ได้แน่นอน
หากเป็นเช่นนี้ ความสามารถของนางแทบจะเทียบเท่ากับเสินสื่อลำดับที่เจ็ดเลยไม่ใช่หรือ?
ต้องบอกก่อนว่า ตอนแรกแม้กระทั่งเสินสื่อลำดับที่เจ็ดก็ยังต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีถึงจะสามารถก้าวผ่านเส้นทางดวงดาวได้สำเร็จ
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นเสินสื่อลำดับที่เจ็ด!
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งจะมาได้กี่วันเอง? แบบนี้มันจะราบรื่นเกินไปหรือไม่
มู่หยาเฟิงพูด
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอันใดทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีสายตาอันเฉียบคม ดังนั้นข้าไม่จำเป็นจะต้องพูดอันใดให้มากความอีก”
คำพูดนี้ทำให้คนรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเหมือนจะนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ! ข้าจำได้ว่าเหมือนซั่งกวนเยว่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับร้านเจินเป่าเก๋อ? ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหมิงซูก็เหมือนว่าจะเคยมาหานางด้วยตนเอง และยังเชิญนางไปที่ร้านเจินเป่าเก๋อ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น
“จริงหรือ? ใต้เท้าหมิงซูไปเชิญด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
“ใต้เท้าหมิงซูเป็นคนระดับใด คาดไม่ถึงว่าจะต้องเกรงใจนางขนาดนั้น? แต่นางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ตามหลักการแล้วมันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ?”
“ช้าก่อน เหมือนว่าพวกเจ้าจะลืมไปหรือเปล่า ร้านเจินเป่าเก๋อยังมีภาพทมิฬสิ้นอัคคีหนึ่งแผ่น? หรือ…นางจะดูจากของชิ้นนั้น?”
กลุ่มคนเงียบไปทันที
ภาพทมิฬสิ้นอัคคีคืออันใดน่ะหรือ พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี
หากเป็นเช่นนั้นจริงละก็ ก็สามารถอธิบายได้ทั้งหมดแล้ว
แต่มันยังมีอีกปัญหาหนึ่ง
“ของล้ำค่าอย่างภาพทมิฬสิ้นอัคคี ซั่งกวนเยว่มีสิทธิ์ดูด้วยหรือ?”
หากบอกว่านางเป็นคนซื้อ
ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
แม้กระทั่งมู่หยาเฟิงที่เป็นคนยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาทั้งหมด นางรวบรวมสะสมเงินมาหลายปี แต่จนถึงตอนนี้ นางก็มีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อด้วยซ้ำ
ส่วนคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“หรือว่าใต้เท้าหมิงซูจะเปิด…”
มีบางคนพูดขึ้น แต่เมื่อเขาพูดได้แค่ครึ่งประโยค เสียงนั้นก็ถูกคนอื่นพูดขัดจังหวะในทันที
“ข้าคิดว่า ต่อให้พวกเราจะคาดเดาไปมา มันจะไปมีความหมายอันใด?”
คนอื่นๆ รวมถึงมู่หยาเฟิงก็ตกตะลึงไปโดยพร้อมกัน จากนั้นก็หันกลับไปมอง
เซียวหรานมายืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ตอนนี้เขากำลังกอดอกพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน
“ไม่ว่าอย่างใดใต้เท้าหมิงซูก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ภายในร้านเจินเป่าเก๋อ พวกเจ้าลองไปถามตามตรงเลยสิ มันดีกว่าจะเดาสุ่มไปทั่วไม่ใช่หรือ?”
พวกเขาพูดอันใดไม่ออก
ปกติแล้วหมิงซูมีท่าทีอ่อนโยนใจดี แต่ใครต่างก็รู้ว่า เขาเป็นคนที่ยั่วโมโหไม่ได้
แม้กระทั่งเสินสื่อลำดับที่แปดร้านเจินเป่าเก๋อยังไม่หวาดกลัว แล้วนับประสาอันใดกับพวกเขา?
หากเขาไปในตอนนี้ มันก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือ?
“มู่หยาเฟิง”
มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น
“เหตุใดซั่งกวนเยว่ถึงสามารถเดินทางบนเส้นทางดวงดาวได้อย่างราบรื่น เรื่องนี้คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้าน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ?”
ริมฝีปากของมู่หยาเฟิงซีดขาวลงในทันที
คนที่อยู่ด้านข้างหันไปมองทางมู่หยาเฟิงด้วยความมึนงง จากนั้นก็หันไปมองเซียวหราน
คำพูดนี้…เหมือนเป็นการบอกใบ้อันใดบางอย่างใช่หรือไม่?
แต่เซียวหรานก็ไม่ได้พูดอันใดขึ้นมาอีก เขาเบนสายตาจากนั้นก็หันไปมองทางฉู่หลิวเยว่
ความจริงแล้วเขาเองก็สงสัยว่าครั้งนี้นางจะเดินไปได้ถึงไหนกัน?
มู่หยาเฟิงกำหมัดแน่น ปิดปากลง
เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ช่วยร้านเจินเป่าเก๋อคัดลอกค่ายกล นับว่าเป็นความลับ
เรื่องนี้คงจะไม่เป็นไรถ้าฉู่หลิวเยว่หรือร้านเจินเป่าเก๋อเป็นคนพูดเอง แต่ถ้าคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากของนาง มันก็ไม่เหมือนกันแล้ว
แม้นางจะไม่พอใจเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกของร้านเจินเป่าเก๋อ แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะล่วงเกินคนอื่นในที่สาธารณะ
ระหว่างที่พวกเขากำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ทางด้านของฉู่หลิวเยว่ก็สามารถทะลวงค่ายกลสามด่านติดต่อกันแล้ว
เมื่อเห็นว่านางสาวเท้าไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง คนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
“นี่นาง…จะสามารถเดินไปถึงตรงไหนกันแน่?”
…
หรงซิวที่กำลังยืนอยู่ในลานบ้าน เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมมองไปทางลำแสงสีเงินที่พุ่งขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ค่ายกลถูกทะลวงไปอย่างรวดเร็ว ระยะทางมุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง
ระยะห่างระหว่างตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็หดเข้าใกล้กันอย่างเห็นได้ชัด
ซั่งกวนจิ้งเดินออกมาจากในเรือน เขาหลุบหน้าลงต่ำเล็กน้อยเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งเข้าไปขอคำชี้แนะจากถังเค่อมา
หลังจากที่เขาเห็นข่งชิงหลินทะลวงสู่ระดับช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ด้วยตาตนเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าตนเองกับธรณีประตูนั้นอยู่ใกล้มาก
แต่ขาดเพียงแค่นิดเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบมันขาดเพียงแค่นิดเดียวเสมอ
ยังดีที่ถังเค่อมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงให้ความคิดเห็นเขาไม่น้อยเลย
เหมือนเขาสามารถตระหนักได้ถึงอันใดบางอย่าง แต่ก็ขาดเพียงอันใดบางอย่าง เพียงแค่นิดเดียวเขาก็จะสามารถบรรลุได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าหรงซิวกำลังยืนอยู่ที่ลานบ้าน เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“หรงซิว เจ้าเพิ่งมาถึงพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดถึงไม่ออกไปเดินเล่นหน่อยล่ะ?”