ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2272 เสินจู่
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ตื่นตระหนก
ที่แห่งนั้นคือปลายทางของเส้นทางดวงดาว หากสาวเท้าเดินต่อไป ที่แห่งนั้นก็คือ ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อันงดงาม
นอกจากนั้นแล้วก็เป็นเพียงภูเขาเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเดินทางไปที่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ฉู่หลิวเยว่ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถามขึ้นว่า
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ด พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันหรือ?”
จิ้นอวิ๋นไหล่พูดโดยไม่หันกลับมา
“ภูเขาเฟิ่งหมิง”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
“ภูเขาเฟิ่งหมิง? มันคือที่ใดกันหรือ?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
“หากถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม เหมือนไม่ต้องการพูดอะไรมาก
ฉู่หลิวเยว่ขยับริมฝีปาก แล้วกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ
“เจ้าค่ะ”
…
ฉู่หลิวเยว่เดินติดตามจิ้นอวิ๋นไหล่ต่อไป
ตอนนี้พวกเขากำลังเดินจนสุดกำแพงของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
บนถนนกว้างใหญ่ เส้นทางรกร้าง นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นมาที่นี่อีก
แรงกดดันแผ่กระจายออกมา
แม้ฉู่หลิวเยว่จะอยู่ในระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่เมื่อนางอยู่ตรงนั้นนางก็ยังรู้สึกแน่นหน้าอก
นางขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และพยายามระงับความไม่สบายใจ
“ครั้งนี้เสินสื่อลำดับที่สองอยากพบเจ้า อีกเดี๋ยวควรพูดอะไรบ้าง เจ้าก็น่าจะรู้แก่ใจ”
ในที่สุดจิ้นอวิ๋นไหล่ก็หันกลับมามองหน้านาง แล้วพูดเสียงเรียบ
ฉู่หลิวเยว่ตกใจมาก
“เสินสื่อลำดับที่สอง?”
ฐานะของเสินสื่อลำดับที่สองเป็นรองแค่ไม่กี่คน แม้กระทั่งจิ้นอวิ๋นไหล่ก็ยังให้ความเคารพเขาอย่างมาก
แต่คนเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าต้องการจะพบนางในเวลาแบบนี้?
ตอนนั้นการคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง แต่ใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉยดังเดิม
“ขอบคุณเสินสื่อลำดับที่เจ็ดที่ชี้แนะ”
เมื่อจิ้นอวิ๋นไหล่เห็นว่านางไม่ได้ทำท่าถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง เขาจึงพยักหน้าอย่างใจเย็น
นอกจากตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ ด้านอื่นๆ ของฉู่หลิวเยว่ล้วนยอดเยี่ยมมาก ไม่สามารถตำหนิได้เลย
เขายกคางขึ้น
“เข้าไปเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ดไม่เข้ามาด้วยกันหรือ?”
จิ้นอวิ๋นไหล่หรี่ตามอง
“ที่แห่งนี้คือภูเขาเฟิ่งหมิง อยู่ติดกับตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นหนึ่งในแดนต้องห้ามของพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาไม่สามารถเข้าไปได้”
เขาก็เช่นกัน
แต่เขาพูดว่าหนึ่งในแดนต้องห้าม…
แดนต้องห้ามภายในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ต้องมีจำนวนไม่น้อยแน่
นางดึงสติกลับมา แล้วเดินต่อไปทางด้านหน้า
เมื่อนางสาวเท้า ร่างของนางก็จางหายไปจากม่านพลังแห่งนั้นแล้ว
เมื่อเห็นว่านางเดินเข้าไป จิ้นอวิ๋นไหล่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
เขาคิดอยู่เสมอว่า การที่อวี้เชียนเรียกฉู่หลิวเยว่มาที่นี่นั้น มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
แต่ท้ายที่สุดแล้วอวี้เชียนก็เป็นเสินสื่อลำดับที่สอง ตอนนี้เขาเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดภายในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เสินสื่อลำดับที่หนึ่งปิดด่านฝึก เรื่องราวมากมายจึงอยู่ในขอบเขตหน้าที่ของเสินสื่อลำดับที่สอง
ทันใดนั้นจิ้นอวิ๋นไหล่ก็นึกถึงคำพูดของซูจิ้ง
ประตูสวรรค์เปิด ตามหลักการแล้วเสินสื่อลำดับที่หนึ่งก็ควรจะออกมาได้แล้ว
เขาครุ่นคิดอยู่นั้น จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
…
ฉู่หลิวเยว่เดินผ่านม่านพลังแห่งนั้น แล้วเข้าไปด้านใน
นางมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง
ด้านหน้าของเขาเป็นภูเขาสูงชัน
ไม่มีต้นไม้เลยสักต้น มีเพียงพื้นสีดำที่ไหม้เกรียม เหมือนว่ามันเพิ่งถูกไฟไหม้มา
และยังขยายวงกว้างมาถึงตีนเขา ต้นไม้ใบหญ้าถูกเผาไหม้เกรียม ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือ
นางยืนมองภาพเหตุการณ์นั้น และเหมือนยังได้กลิ่นไหม้จางๆ ในอากาศ
แต่เมื่อมองไปอย่างละเอียด นางก็สัมผัสได้ว่ามีก้อนหินหลายก้อนถูกหลอมที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
แม้จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ แต่มันก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
แต่อย่างไรก็ตามก็มีม่านพลังโปร่งแสงห้อยลงมาจากท้องฟ้า แบ่งแยกตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ออกจากที่แห่งนี้ จนเหมือนเป็นคนละโลก
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…แท้จริงแล้วสถานที่ที่เรียกว่า ภูเขาเฟิ่งหมิง คือภูเขาด้านหลังตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ข่าวลือที่นางเคยได้ยินมาก่อนก็ปรากฏขึ้นมาในสมอง
ใช่แล้ว!
เซียวหรานเคยพูดเอาไว้ว่า หลายหมื่นปีก่อนหน้านี้ ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เคยประสบกับอัคคีภัยครั้งใหญ่ แทบจะทำลายครึ่งหนึ่งของตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ต้องใช้เวลาพันปีกว่าจะซ่อมแซมสำเร็จ
ส่วนคนที่ทำลายในครั้งนั้นก็คือ บรรพบุรุษหงส์ทองคำ อสูรศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ตำหนัก เขาทรยศต่อตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นคนบาปของเผ่าพันธุ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!
หรือว่า ภูเขาเฟิ่งหมิงก็คือ…
“ดูเหมือนเจ้าจะสนใจตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของชายหนุ่มที่นุ่มนวลก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เมื่อฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองก็เห็นชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนภูเขาเฟิ่งหมิงที่ถูกไฟไหม้จนมอด
ความเร็วของเขาสูงมาก ภายในชั่วพริบตาเดียว เขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าซูฮ่าวแล้ว
ตอนที่เขามาถึง รอบกายของเขายังไม่มีความผันผวนเลยแม้แต่น้อย!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจมาก
ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้อยู่เหนือระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีก!
นางกวาดสายตามองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายดูเหมือนอายุยี่สิบกว่า ท่าทางอ่อนโยน เห็นเพียงครั้งเดียวก็ยากจะลืมเลือน เขาก็คือ เสินสื่อลำดับที่สองผู้กุมความเป็นความตายของคนจำนวนนับไม่ถ้วน!
ในตอนนั้น อวี้เชียนกำลังมองนางอยู่ สายตามีความผันผวนอยู่เลือนราง
“คารวะเสินสื่อลำดับที่สอง”
ฉู่หลิวเยว่ก้มศีรษะทำความเคารพอย่างมีมารยาท
อวี้เชียนดึงสติกลับมา แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ที่วันนี้ข้าให้เจ้ามาที่นี่ เพราะมีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้า”
เขายกมือขึ้นชี้ไปทางภูเขาเฟิ่งหมิงที่อยู่ด้านหลัง
“เจ้ารู้หรือไม่ ที่นี่คือที่ใด?”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
ที่นี่ก็คือภูเขาเฟิ่งหมิงไม่ใช่หรือ มันจะเป็นที่ใดไปได้อีก
เหมือนเขาสามารถอ่านความคิดของนางได้ อวี้เชียนจึงยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“ก่อนหน้านี้ หงส์ทองคำ อสูรศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ตำหนักของเสินจู่ถูกเลี้ยงอยู่ที่นี่”
………………..