ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2284 ตื่นตกใจ
เงาด้านหลังนี้ เหตุใดดูคุ้นตาไม่น้อย
หมิงซูเงยหน้าขึ้น ก็เห็นฉู่หลิวเยว่เดินออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางกำลังพิงอยู่ที่ขอบประตู มือทั้งสองกอดอกและมองมาทางนี้อย่างเกียจคร้าน
ในใจเขาสั่นไหวเล็กน้อยจึงรีบหันไปปิดประตูห้อง และหันกลับมามองฉู่หลิวเยว่ พลางหัวเราะแห้งๆ และพูดขึ้น
“คุณหนูซั่งกวน เหตุใดท่านออกมาเร็วเช่นนี้?”
ขณะถาม หมิงซูก็รู้สึกหวั่นอยู่ในใจ
พลังของฮูหยินดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น เมื่อครู่ตอนที่นางออกมา เขากลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย!
หากรู้ว่าจะออกมาเจอกันเช่นนี้ เขาคงระวังตัวมากกว่านี้อย่างแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอันใดหรอก เพียงแต่การคัดลอกค่ายกลครั้งนี้ก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ข้ากำลังจะกลับ แต่ไม่เห็นใต้เท้าหมิงซู ก็เลยออกมาดูสักหน่อย”
สายตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ประตูห้องซึ่งปิดสนิทอยู่ด้านหลังหมิงซู
“คนข้างในนั้น…คือผู้ดูแลรอง?”
หมิงซูไม่สามารถปฏิเสธได้
“คุณหนูซั่งกวนปราดเปรื่องยิ่งนัก”
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาออก ในเวลาเช่นนี้คนที่ขึ้นไปชั้นสองได้มีอยู่ไม่มาก และเมื่อเห็นสีหน้าของหมิงซูที่เต็มไปด้วยความเคารพ
สถานะของคนผู้นั้น ย่อมชัดเจนอย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกก้าวและพูดขึ้น
“ในเมื่อวันนี้เป็นโอกาสดีเช่นนี้…ไม่ทราบว่าผู้ดูแลรองพอจะมีเวลาให้ข้าพบสักหน่อยได้หรือไม่”
น้ำเสียงของนางยกสูงขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะดูเหมือนกำลังพูดกับหมิงซู แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางจงใจพูดให้คนข้างในได้ยิน
…
เหตุใดถึงถูกเห็นได้?
ตามหลักแล้วเห็นเพียงแวบเดียวไม่น่าจะจับพิรุธอะไรได้?
แต่ฮูหยินสายตาเฉียบแหลมมาแต่ไหนแต่ไร และยังคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี หากนางจับพิรุธอะไรได้ขึ้นมาล่ะก็…
เหยียนเก๋อแอบเสียใจขึ้นมา
เหตุใดต้องเรียกหมิงซูมาตอนนี้ด้วยนะ?
หลายเรื่องรอให้ฮูหยินออกไปก่อนค่อยคุยก็ยังไม่สาย!
ขณะที่เหยียนเก๋อกำลังร้อนรน เสียงของหมิงซูก็ดังมาจากข้างนอก
“เอ่อ… คุณหนูซั่งกวน ร่างกายของผู้ดูแลรอง…”
“ผู้ดูแลรองร่างกายยังไม่ฟื้นตัวหรือ”
“ใช่ ใช่…ตอนนี้ผู้ดูแลรองยังไม่ค่อยดีนัก คาดว่าคงไม่สะดวกพบกับท่าน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางๆ
“เช่นนี้ช่างบังเอิญจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งทะลวงระดับเซียนหมอพอดี คงจะช่วยตรวจชีพจรให้ผู้ดูแลรองได้? ร้านเจินเป่าเก๋อช่วยเหลือข้ามากเช่นนี้ ข้ารู้สึกเกรงใจมาโดยตลอด หากข้าสามารถช่วยเหลือผู้ดูแลรองได้บ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย”
หมิงซูชะงักไปชั่วครู่ และเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล
“คุณหนูซั่งกวน น้ำใจของท่านพวกเราซาบซึ้งนัก เพียงแต่…ผู้ดูแลรองมีอาการด้วยโรคเก่า ก่อนหน้านี้ก็ได้เชิญหมอระดับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์มาตรวจดูแล้ว ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตอันใด เพียงแค่ต้องพักผ่อนให้มากเท่านั้น ท่านเองก็เพิ่งจะคัดลอกค่ายกลเหล่านั้นเสร็จ น่าจะถึงเวลาที่ต้องพักเช่นกัน จะรบกวนท่านได้อย่างไร?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางมองหมิงซูด้วยสายตาสงบนิ่ง
นัยน์ตาคู่นั้นที่เปล่งประกายแฝงความหมายคล้ายกำลังไตร่ตรองบางอย่างอยู่
ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่อยากรู้เกี่ยวกับผู้ดูแลรองผู้นี้เท่านั้น แต่ตอนนี้…กลับเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน
นางเพียงต้องการพบหน้า เหตุใดถึงยากเย็นนัก
เหตุผลที่หมิงซูให้มานั้น ไม่อาจทำให้นางเชื่อได้เลย
อีกทั้งเงาหลังเมื่อครู่นั้น นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก…
เมื่อถูกนางจ้องมองด้วยสายตาที่เรียบเฉยเช่นนี้ หมิงซูรู้สึกได้ถึงความกดดันทั่วร่างกาย เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่แผ่นหลังไม่หยุด
ผ่านไปพักใหญ่ ฉู่หลิวเยว่จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อผู้ดูแลรองยังไม่สะดวก ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”
หมิงซูจึงแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ขอบคุณคุณหนูซั่งกวนที่เข้าใจ วันหลังหากมีโอกาสผู้ดูแลรองจะต้องเลี้ยงรับรองท่านอย่างดีแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปยังประตูที่ปิดสนิทและพูดขึ้นว่า
“ผู้ดูแลรองดูแลสุขภาพด้วย วันนี้ข้าคงไม่รบกวนแล้ว”
เมื่อพูดจบ นางจึงหมุนตัวเดินลงบันไดไป
หมิงซูรีบตามไปส่ง
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่งพลางหันไปมองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ใต้เท้าหมิงไม่ต้องลำบากมาส่งหรอก เวลานี้ท่านควรไปดูแลผู้ดูแลรองจะดีกว่า พักนานเกินไปก็คงไม่ดีนักใช่หรือไม่”
หมิงซูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เขาจึงหยุดเดินตามและมองส่งนางจากไป
…
ฉู่หลิวเยว่เดินออกจากร้านเจินเป่าเก๋อ และหันกลับไปมองอีกครั้ง
ประตูและหน้าต่างชั้นสองปิดสนิท ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
วันนี้อาจยังไม่เจอ แต่ไม่ช้าก็เร็วต้องได้เจอ
นางจะคอยดูว่าผู้ดูแลรองผู้นี้คิดจะหลบหนีไปได้นานแค่ไหนกัน?
นางสลัดความคิดทิ้งไป และยกปลายเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของภูเขาเฟิ่งหมิง
เมื่อฉู่หลิวเยว่เดินมาถึงหน้าค่ายกล นางหยิบป้ายหยกที่อวี้เชียนมอบไว้ให้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาและวางมันลงบนค่ายกล
หึ่ง
ค่ายกลเปิดออก
นางก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล
…
เมื่อมาถึงภูเขาเฟิ่งหมิง ถวนจื่อก็กำลังนั่งอยู่บนยอดเขา มือข้างหนึ่งเท้าคาง แก้มของนางพองขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ถวนจื่อ”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเรียก
เมื่อได้ยินเสียงถวนจื่อจึงเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้ากลมน่ารักประดุจหยกหิมะเผยรอยยิ้มกว้างออกมาในทันที
นางรีบลุกขึ้นวิ่งตรงมาด้วยขาเล็กๆ และเท้าเปล่าอย่างไม่รอช้า
“อาเยว่! อาเยว่ เจ้ากลับมาแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งก้าวลงมา ถวนจื่อก็พุ่งเข้ามาหาทันที วงแขนเล็กๆ ทั้งสองข้างโอบรอบคอของนางแน่น หัวกลมๆ ของถวนจื่อถูไปมาที่ไหล่ของฉู่หลิวเยว่ไม่หยุดแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“อ๋า! อาเยว่หอมจัง!”
กลิ่นนี้นางไม่ได้สัมผัสมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ฮือๆ!
ฉู่หลิวเยว่ทั้งหัวเราะทั้งส่ายหน้า มองดูถวนจื่อที่วิ่งมาหาอย่างร่าเริง แต่ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้
ถวนจื่อชอบความครึกครื้น การอยู่ลำพังแบบนี้คงทำให้นางรู้สึกเหงามากจริงๆ
“อาเยว่ก็คิดถึงถวนจื่อเหมือนกัน วันนี้เลยมาหาเจ้า”
ขณะที่พูดฉู่หลิวเยว่ก็หอมแก้มกลมๆ และนุ่มนิ่มของถวนจื่อเบาๆ
“ถวนจื่ออยู่ที่นี่คนเดียว รู้สึกอย่างไรบ้าง? อืม? พลังปราณบนตัวเจ้า…เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น?”
เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเช่นนี้?
ถวนจื่อเบ้ปากเล็กน้อย
“ชิ! ก็แค่นั้นแหละ อาเยว่ไม่อยู่ ข้าไม่สนุกเลย”
ถวนจื่อบ่นออกมาด้วยความเบื่อหน่าย นางจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน พยายามเร่งให้ตนเองสามารถเปิดเส้นชีพจรได้เร็วขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจในใจ
“ภูเขาเฟิ่งหมิง…ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
การฝึกฝนของถวนจื่อในวันนี้ แทบจะก้าวหน้ากว่าหลายวันที่ผ่านมา
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เนื่องจากภูเขาเฟิ่งหมิงเคยเป็นอาณาเขตของบรรพบุรุษหงส์ทองคำ การที่ถวนจื่อฝึกฝนอยู่ที่นี่จึงมีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งยังไม่เกิดผลกระทบหรืออันตรายใดๆ
เช่นนี้ยิ่งดีกว่าการบีบเค้นเปิดเส้นชีพจรก่อนหน้านี้มากนัก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงจะสามารถเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดได้ในไม่ช้า
“ใช่แล้ว อาเยว่ เมื่อครู่ข้าเหมือนจะเห็น….”
ทันใดนั้นถวนจื่อก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกัดนิ้วมือด้วยความสับสนและขยับเข้ามาใกล้ที่ข้างหูของนาง
“เหมือนจะเป็น…”
ตู้ม!
ถวนจื่อยังไม่ทันพูดจบ เสียงดังสนั่นขึ้นมาจากในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างกะทันหัน!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่กระตุกวูบ นางรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที!
………………..