ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2295 ข้าไปดูเอง
เปลวเพลิงกลุ่มนั้นเผาลุกโชนอยู่บนขนนกทองคำบรรพบุรุษอย่างเงียบเชียบ สีสันของมันสดและเข้มข้นกว่าเปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบมากนัก
อี้กงรู้สึกถึงลมปราณที่คุ้นเคยจากขนนกเส้นนั้นได้เลือนราง
…เห็นได้ชัดเลยว่าอี้เจาใช้เลือดเนื้อของตัวเองต่างเครื่องเซ่น แล้วแปรสภาพมันเป็นเปลวเพลิง!
นางคิดจะทำอันใดกัน!?
ราวกับมองความเคลือบแคลงของอี้กงออก ดวงหน้าเล็กน่ารักดุจหยกหิมะของถวนจื่อหยักยกรอยยิ้มเจิดจ้า พลางกล่าวเสียงใสว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าแค่จะมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านเท่านั้น”
รอยยิ้มของนางหวานหยดย้อย น่ารักแลบริสุทธิ์
ทว่าตอนนั้นเอง จากมุมมองของอี้กงมองมากลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของนางน่าผวาเกินสิ่งใดเทียบ
ความกระวนกระวายอันรุนแรงแล่นปราดสู่ก้นบึ้งจิตใจของเขา
เขาอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับส่งเสียงไม่ได้ ทำได้แค่มองถวนจื่อเล่นกับขนนกทองคำบรรพบุรุษตาปริบๆ จากนั้นก็โบกไกวมันไปมาเบาๆ อย่างสบายอารมณ์
ฟึ่บ!
เปลวเพลิงสายนั้นทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันลามเคลื่อนไปตามปากแผลพวกนั้น ก่อนจะเจาะลงไปในร่างของเขา!
ความเจ็บปวดทรมานอันร้อนลวกแผดเผาไปทั่วร่างกาย!
อี้กงกระอักเลือดออกมาทันที
ทุกครั้งที่เขาคิดว่าความเจ็บปวดมาถึงขีดสุดแล้ว ตอนที่กำลังรู้สึกเหน็บชา ก็มักจะมีวิธีการอื่นๆ ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่ารอคอยเขาอยู่… มันกระตุ้นต่อมความรู้สึกเจ็บปวดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาอยากจะหมดสติไปเสียทั้งแบบนี้ จะได้ทรมานน้อยลงบ้างสักหน่อย
แต่เขาเพิ่งเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดมา ในตอนที่มีสติแจ่มชัดที่สุด นอกจากรู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างรุนแรงได้ชัดเจนมากขึ้นก็ไม่มีอันใดอีก
แม้ตอนนี้ทั้งสามคนจะเปิดเส้นชีพจรที่เจ็ดเรียบร้อยแล้ว แต่พลังยังคงมีช่องว่างห่างชั้นกันมากอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อี้กงเองก็เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่างด้วย
เปลวเพลิงกลุ่มนั้นบรรจุเอาไว้ซึ่งแรงกดดันหนักหน่วงที่แผดเผาทุกส่วนภายในร่างของอี้กง!
…
เสียงผิวปากของอวี้เชียนแว่วดังไปถึงตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
จิ้นอวิ๋นไหล่ที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องพลันลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จากนั้นเขาก็หยัดกายลุกขึ้นโดยไม่ลังเล แล้วเดินออกไปข้างนอก
เพิ่งเดินออกมาได้สักระยะก็ชนเข้ากับซูจิ้งที่มีท่าทีรีบร้อน
จิ้นอวิ๋นไหล่หรี่ตาลงน้อยๆ
จวนที่พักของซูจิ้งไม่ได้อยู่ฝั่งนั้นนี่นา
ดูท่าแล้ว นางคงไปส่งยาให้เสินสื่อลำดับที่หกมาไม่ผิดแน่
หลังจากที่เขาลอบตามไปวันนั้น เดิมอยากฟังว่าคนทั้งสองคุยเรื่องอันใดกัน น่าเสียดายที่เสินสื่อลำดับที่หกเป็นพวกขี้ระแวงมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะพอกลับมารอบนี้ก็จัดการกางค่ายกลชั้นหนึ่งเอาไว้ด้านนอกสวนหย่อม
ทันทีที่เข้าใกล้จะถูกเขาจับได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นสุดท้ายแล้วจิ้นอวิ๋นไหล่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ส่วนทั้งสองคนนั้นคุยอันใดกันในนั้น เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
อย่างเดียวที่รู้ก็คือหลังจากที่ซูจิ้งจากไปในวันนั้น สีหน้าของนางย่ำแย่อย่างมาก
เดิมทีเขาคิดว่าสองคนนี้เกิดความขัดแย้งกัน แต่ผ่านไปสักระยะ ซูจิ้งก็ยังคงไปส่งยาทุกวันไม่ได้ขาด
จิ้นอวิ๋นไหล่พลันบังเกิดความสงสัยในใจ แต่กลับไม่ได้ถามออกไป
เสินสื่อทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างกันจึงไม่นับว่าสนิทสนม
เมื่อก่อนเขากับเสินสื่อลำดับที่หกเองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันบ่อยนัก ตอนนี้จึงไม่มีเหตุผลอันใดไปสอบถามเจ้าตัว
ตอนนั้นเอง ซูจิ้งก็เห็นเขาเข้าเช่นกัน
หากมิใช่เพราะจิ้นอวิ๋นไหล่พอจะรู้จักนางอยู่บ้าง เกรงว่าคงจะไล่ตามการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในชั่วพริบตาได้ยากแล้ว
จิ้นอวิ๋นไหล่ก้าวไปข้างหน้า ถามว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่สระอัสนีบาตเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ซูจิ้งลอบถอนหายใจออกมาพลางส่ายศีรษะ
“ไม่รู้ ข้าเองก็เพิ่งมาเพราะได้ยินข่าวจากเสินสื่อลำดับที่สองเหมือนกัน”
จิ้นอวิ๋นไหล่เอามือไพล่หลังก่อนจะค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
ความจริงแล้วเสินสื่อลำดับที่สี่เคยส่งสัญญาณเตือนมาก่อน ตอนนั้นเขาเองก็อยากไปเช่นกัน เพียงแต่พอภายหลังได้เห็นเสินสื่อลำดับที่สองออกไปจัดการด้วยตัวเอง เขาก็พักความคิดนั้นเอาไว้ทันที
เดิมทีเขาคิดว่าเสินสื่อลำดับที่สองจะลงมือด้วยตัวเอง เรื่องอันใดที่เกิดขึ้นล้วนแก้ไขผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ใครจะรู้ว่าผ่านไปได้ไม่นาน จะมีคำสั่งสูงสุดมาจากเสินสื่อลำดับที่สอง
สระอัสนีบาตต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ว่าฟังจากความหมายของซูจิ้งแล้ว แปลว่าก่อนหน้านี้นางไม่รับรู้ถึงสัญญาณเตือนของเสินสื่อลำดับที่สี่?
ตอนนั้นนางกำลังทำอันใดอยู่กันนะ
ราวกับถูกสายตาของจิ้นอวิ๋นไหล่มองจนรู้สึกประหม่าขึ้นมาหลายส่วน ซูจิ้งจึงนิ่วหน้าทันที
“ทำให้เสินสื่อลำดับที่สองเป็นแบบนี้ได้ เกรงว่าคงไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
จิ้นอวิ๋นไหล่พยักหน้ารับเบาๆ ร่างกายขยับไหวพุ่งตรงไปยังสระอัสนีบาต!
ซูจิ้งผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองด้วยสีหน้าซับซ้อน
จากนั้นนางก็รีบตามไปทันที
…
“พี่รอง เมื่อครู่ท่านได้ยินเสียงผิวปากรึเปล่า”
น้องแปดกำลังนั่งพลิกสมุนไพรเล่นไปมาอยู่ในสวนหย่อม ครั้นได้ยินเสียงนี้ก็หยุดชะงักแล้วหันศีรษะกลับไปมอง
น้องแปดหยัดกายลุกขึ้น วิ่งถลาไปด้วยความตื่นเต้นอยู่หลายส่วน
“พี่รอง พวกเราลองไปดูกันสักหน่อยหรือไม่”
“ไปไม่ได้”
“ไม่ต้องไป”
สุ้มเสียงสองสายดังขึ้นมาพร้อมกัน
น้องแปดหันศีรษะกลับไป
“พี่ใหญ่? ใต้เท้าเยี่ยนชิง?”
สองคนนี้เดินออกจากห้องมาพร้อมกัน แล้วยังจะห้ามไม่ให้นางไปอีก?
นางบึนปากน้อยๆ แล้วพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
“ข้าก็แค่อยากไปดูเรื่องสนุกเอง… ไม่ไปก็ไม่ไป เหตุใดต้องดุขนาดนั้นด้วยเล่า”
สองคนนี้ยังมาดุนางพร้อมกันอีก!
เฉินอีตวัดสายตามองไปทางเยี่ยนชิง
สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน
ทันใดนั้น เฉินอีก็สาวเท้าเดินออกไปข้างนอก
“ข้าไปดูเอง”
น้องแปดพลันเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง หัวซวงซวงเองก็ปรายตามองมาอย่างประหลาดใจ
“พี่ใหญ่ ท่านจะไปเองหรือ”
ตั้งแต่มาถึงพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่เคยก้าวออกจากประตูจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว!
ตอนนี้กลับจะไปสระอัสนีบาตนี่นะ!?
เฉินอีพยักหน้า ในนัยน์ตาเรียวยาวเฉยชานั้นทอแววลึกล้ำดุจมหาสมุทร