ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2297 คลื่นลมโหมซัด
ลักษณะร่างกายบวกกับกลิ่นอายแบบนี้แล้ว ชัดเจนมากว่าเหมือนกับ…
เขาอ้าปากพะงาบ กำลังจะตะโกนเรียกคน
“เสิน…”
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยจบ เขาก็เห็นรูปลักษณ์ของคนมาใหม่ถนัดตา
อวัยวะบนหน้ารับเข้ากันทุกส่วนสัด สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ หากแต่เป็นดวงหน้าที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง!
คำพูดที่เหลือของอวี้เชียนจึงติดค้างอยู่ในลำคอด้วยประการฉะนี้
นัยน์ตาสองข้างที่ซึ่งคมปลาบหาสิ่งใดเปรียบดุจนกอินทรีของเขาจ้องคนมาใหม่เขม็ง
เขาเป็นชายหนุ่มวัยกำยำที่ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเห็นจะได้ สวมเสื้อคลุมสีเขียว รูปร่างผอมเพรียวสูงโปร่ง ดวงตาเรียวยาวเฉยชาเรียบนิ่ง
คนผู้นั้นปรายมองมาราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา
สายตาของคนทั้งสองสบประสานเข้าหากัน
ทว่าเพียงแค่ครู่เดียว ฝั่งตรงข้ามก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน แล้วเบนมองไปทางอื่นแทน
ในใจของอวี้เชียนพลันรู้สึกประหลาดพิกลขึ้นมาทันใด
คนผู้นี้…
“เสินสื่อลำดับที่สอง”
จิ้นอวิ๋นไหล่และซูจิ้งหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เชียน ครั้นเห็นว่าสีหน้าของเขาดูแปลกไป ทั้งสองก็สบสายตากันแวบหนึ่ง พร้อมใจกันหันศีรษะกลับไปมอง
ซูจิ้งเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงเช่นกัน
“นี่มัน…”
หลังจากกวาดมองดูอย่างถี่ถ้วน ใจที่เต้นระรัวเร็วอย่างบ้าคลั่งของนางก็สงบลงในที่สุด
ความหวาดกลัวอันลึกล้ำซึ่งแล่นปราดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ยามนึกถึงใครคนหนึ่งที่เกาะกุมอยู่ในจิตใจเป็นเวลานานจึงค่อยๆ สลายหายไป
“เฉินอี เจ้ามาได้อย่างใดกัน”
จิ้นอวิ๋นไหล่นิ่วหน้าน้อยๆ
เมื่อครู่เขากับซูจิ้งไม่ได้รับรู้เลยว่าด้านหลังมีคนผู้หนึ่งตามมาด้วย
อวี้เชียนกับซูจิ้งต่างก็หันมองมาทางจิ้นอวิ๋นไหล่
“อวิ๋นไหล่ เจ้ารู้จักเขา?”
อวี้เชียนเอ่ยถามเสียงทุ้มอย่างเชื่องช้า
จิ้นอวิ๋นไหล่ผงกศีรษะ
แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงสาเหตุที่อวี้เชียนถามออกมาเช่นนี้
เฉินอีผู้นี้และท่านผู้นั้นช่างให้อารมณ์คล้ายคลึงหลายส่วนโดยแท้
ยามที่พบเฉินอีครั้งแรก เขาเองก็ตื่นตกใจเช่นกัน
“เขาคือข้ารับใช้ของฉู่หลิวเยว่ มาที่นี่ได้สักพักแล้ว”
เพียงแต่ระหว่างนั้นเหมือนจะไม่ได้ออกมาด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
คนอื่นๆ ในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ไม่รู้จักมักจี่เขา นับประสาอะไรกับบรรดาเสินสื่อทั้งหลาย
อวี้เชียนจึงได้วางใจลง ก่อนจะผงกศีรษะรับรู้
ที่แท้ก็มาที่นี่เพราะนางนี่เอง
เขาปรายมองเฉินอีแวบหนึ่ง ก่อนจะชักสายตากลับไป
ก็แค่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรให้ต้องสนใจ
“พวกเจ้าสองคนไปฟากนั้นก่อน เตรียมเปิดใช้ผนึกกักวิญญาณ”
ได้ยินดังนั้น คนทั้งสองต่างก็พากันตื่นตกใจ
“ผนึกกักวิญญาณ?”
มันคือผนึกพิเศษอันหนึ่งที่จำเป็นต้องให้เสินสื่อทั้งหลายลงมือพร้อมกันถึงจะเปิดใช้งานได้
ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาไม่มีทางใช้งานมันโดยเด็ดขาด
แต่ตอนนี้มัน…เป็นเพราะอี้เจาอย่างนั้นหรือ
ครั้นเหลือบสายตาขึ้นมองเบื้องหน้าที่ห่างออกไปไม่ไกล ทัณฑ์สวรรค์สีทองยังคงบินว่อนไม่หยุดหย่อน คอยสร้างความวุ่นวายแก่ทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่โดยรอบ ทั้งยังจับพวกมันกลืนกินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง!
ส่วนเปลวเพลิงสีทองอร่ามที่อยู่ข้างในกลับแผดเผาลุกโชนด้วยทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม!
“มิใช่ว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ควรจะอยู่ใต้…”
จิ้นอวิ๋นไหล่พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็พบว่าสีหน้าของมู่ตงโหย่วนับว่าดูไม่ได้โดยแท้ เสียงของเขาจึงติดขัดขึ้นมาทันที
“เวลาเหลือไม่มากแล้ว ต้องลงมือให้ไว”
สุรเสียงของอวี้เชียนเย็นเยียบนัก
จิ้นอวิ๋นไหล่กับซูจิ้งต่างก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ
“ขอรับ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูด คนทั้งสองก็แยกย้ายไปคนละทาง
ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนบางส่วนกำลังยืนล้อมรอบกองเพลิงทอแสงกลุ่มนั้น แต่ละคนต่างยืนหันหน้าเข้าหากัน กลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเปียกปูน
ทันใดนั้น ซูจิ้งก็ขมวดคิ้ว
ภายในกลุ่มแสงสว่างเรืองรองจนแสบตาที่อยู่ตรงหน้า ปรากฏเงาร่างหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มีออกมาให้เห็น
“ข้างในนี้ยังมีคน!”
นางตื่นตกใจจนเสียงหาย
กระทั่งตัวนางที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังรู้สึกอึดอัดแทบขาดใจจนแทบเข้าไปใกล้ต่อไม่ไหว
แล้วเหตุใดถึงยังมีคนเข้าไปด้านในนั้นทั้งแบบนั้นกันเล่า!
อีกทั้งพอดูไปแล้ว เงาร่างนั้นยังดูคุ้นเคยอยู่หลายส่วนด้วย!
“ไม่ต้องสนใจนาง”
อวี้เชียนเอ่ยเสียงเย็น
หากมิใช่เพราะฉู่หลิวเยว่ พวกเขาอาจจะแก้ปัญหาสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้!
“นางรนหาที่ตายเองก็ช่างปะไร”
อย่างไรเสียนางกับถวนจื่อก็ยกเลิกพันธสัญญาต่อกันแล้ว จะอยู่หรือตายก็ไม่ได้สลักสำคัญต่อไป
ซูจิ้งสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
ที่แท้…ก็เป็นนางจริงๆ!
แต่ว่าที่อวี้เชียนพูดมานั้นถูกต้อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทำแบบนี้ไปก็เท่ากับส่งตัวเองไปตายโดยไม่ต้องสงสัย
เดิมนางก็ไม่พอใจในตัวฉู่หลิวเยว่อยู่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าโอกาสให้ได้ระบายความโกรธจะมาไวขนาดนี้!
ฉึบ!
นางเบนสายตากลับมา พลังปราณศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งในมือพุ่งทะยานออกไป!
ในขณะเดียวกัน มู่ตงโหย่วและจิ้นอวิ๋นไหล่เองก็ลงมือพร้อมกัน!
พลังปราณศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งประสานเข้าหากันและกัน ก่อนจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลายภาพพิเศษลายหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันมหาศาลค่อยๆ แผ่ออกมาจากลายภาพที่ว่านั่น!
…
ถวนจื่อถ่ายทอดพลังเปลวเพลิงส่วนหนึ่งเข้าไปในร่างของอี้กง
ในตอนนี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเปิดทั่วถ้วน เปรอะเปื้อนคราบเลือดชุ่มโชก
มีบางรอยแผลที่ลึกถึงขั้นเห็นกระดูกเสียด้วยซ้ำ
เขาก้มศีรษะลงต่ำ สายเลือดหลั่งรินออกจากมุมปากอย่างต่อเนื่อง
แม้ลมปราณรอบกายจะเฟื่องฟูและแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่สภาพจิตใจของเขากลับย่ำแย่อย่างยิ่งยวด
สมองของอี้กงพร่าเลือนไปแล้ว
คำว่าอยู่ไม่สู้ตาย…วันนี้นับได้ว่าเขาเข้าใจถ่องแท้แล้ว!
ตราบที่เขาพอจะมีช่องว่างให้โต้กลับแม้เพียงเล็กน้อย ย่อมไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่
ถวนจื่อกวาดตามองเขาสองสามรอบ จากนั้นก็ผงกศีรษะเป็นเชิงพอใจ
“เรียบร้อยแล้ว!”
หว่างคิ้วของอี้กงถึงกับกระตุกกึก
เรียบร้อยแล้ว?
อะไรกันที่ว่าเรียบร้อยแล้ว
เขารู้สึกใจไม่ดี ทว่าตอนนี้กระทั่งแรงจะเงยศีรษะขึ้นมาลืมตาดูยังไม่มี
จากนั้น เขาก็รับรู้ได้ว่าถวนจื่อกำลังขยับ
นางเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างอี้กงกับอี้เจา
“ท่านปู่ประมุข ท่านวางใจได้เลย ข้าจะพาท่านออกไปเอง!”
เดิมทีอี้เจายังนึกไม่ออกว่าถวนจื่อคิดจะทำอะไรกันแน่ ทว่าหลังจากเห็นถวนจื่อถ่ายทอดเปลวเพลิงบางส่วนเข้าสู่ร่างของอี้กงอย่างต่อเนื่องแล้วก็พอจะเดาขึ้นมาได้รางๆ
บัดนี้เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น…เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ
สีหน้าของเขาวูบไหว บนดวงหน้าปรากฏแววลังเลแวบหนึ่ง
“ถวนจื่อ ถ้าทำแบบนั้นแล้ว มันจะอันตรายเกินไปสำหรับเจ้า อีกอย่าง เจ้าตัดตรวนเส้นนี้ไม่ขาดหรอก”
เมื่อรับรู้ได้ว่าถวนจื่อเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ดแล้ว เขาก็จุดไฟเผาตัวเองเรียกให้ถวนจื่อมาที่นี่ เพื่อจะอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนและสามารถกำจัดอี้กงได้ราบรื่น
คาดไม่ถึงเลยว่านางจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ด้วย
ถวนจื่อขบกรามแน่น ตาจดจ้องไปถึงโซ่ตรวน
ตรวนนี่กับตรวจสีดำเส้นนั้นที่ขังนางเอาไว้ในตอนนั้นเหมือนกันราวกับแกะอย่างเห็นได้ชัด!
ตอนนั้นนางไร้หนทางจะรับมือกับมันได้ แต่ไม่ได้แปลว่าตอนนี้นางจะจัดการมันไม่ได้เสียหน่อย!
นางสาวเท้าไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง มือคว้าจับเอาตรวนสีดำเส้นนั้นเอาไว้แน่น จากนั้น…ก็เขย่ามันอย่างแรง!
ตูม ครืน!
สุ้มเสียงกึกก้องดังระเบิดออกมาจากก้นบึ้งของสระอัสนีบาต!
ทันใดนั้นเอง มันก็ก่อให้เกิดพายุคลื่นลมโหมกระหน่ำซัดขึ้นมาในชั่วพริบตา!