ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2300 ข้าย่อมต้องปกป้องเขา
ตอนที่ 2300 ข้าย่อมต้องปกป้องเขา
………………..
สระอัสนีบาตตกสู่ห้วงโกลาหล บรรดาเสินสื่อทั้งหลายรวมทั้งอวี้เชียนต่างร่วมมือกันสุดกำลัง ใช้เวลาสามวันสามคืนเต็มจึงจะคุมความวุ่นวายทุกอย่างไว้ได้ในที่สุด
ผนึกกักวิญญาณขนาดมหึมาลอยเคว้ง ปิดผนึกทั่วทั้งสระอัสนีบาตอย่างเงียบงัน ใต้ผนึกนั้นมีทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วนที่ยังคงบินว่อน
ยามมองจากที่ไกลๆ ราวกับชั้นน้ำแข็งหนาบนผิวทะเลที่จับตัวแข็งคอยกดยับยั้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
ผนึกกักวิญญาณทอแสงเรืองรองจางๆ เย็นยะเยือกและเป็นประกายวาบวับ
อวี้เชียนมีสีหน้าเย็นเยียบ เขาจดจ้องผนึกกักวิญญาณอยู่นานทีเดียว
คนอื่นที่อยู่ข้างกันนั้นก็ตกสู่ภวังค์ความเงียบ บรรยากาศราวกับแข็งค้างขึ้นมาทันใด
แม้พวกเขาจะใช้ผนึกกักวิญญาณทำให้สระอัสนีบาตสงบลงได้ชั่วคราว แต่หลังจากนี้สระอัสนีบาตก็จะกลับสู่สภาวะเฉกเช่นปัจจุบันเป็นเวลายาวนาน
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหมื่นปี
กระทั่งตอนพาตัวอี้เจามาคุมขังไว้ที่นี่ ก็หาได้บังเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ไม่
ผ่านไปเนิ่นนาน อวี้เชียนถึงได้ปรายตามองมู่ตงโหย่ว เอ่ยถามเสียงต่ำ
“ตอนนี้เจ้ายังควบคุมพลังของทัณฑ์สวรรค์ในสระอัสนีบาตได้กี่ส่วน?”
มู่ตงโหย่วลังเลไปครู่หนึ่ง ตอบว่า
“ครึ่งหนึ่งขอรับ”
นี่นับว่าดีขึ้นมากแล้ว
ตอนเข้าขั้นวิกฤตที่สุด เขาแทบจะสูญเสียอำนาจในการควบคุมสระอัสนีบาตไปทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งผนึกกักวิญญาณมายับยั้งมันไว้ เขาถึงค่อยๆ ฉวยชิงอำนาจการควบคุมทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นกลับมาได้
แต่นี่ไม่ได้ทำให้มู่ตงโหย่วอารมณ์ดีขึ้นมาเลยสักนิด
เขาคือเสินสื่อลำดับที่สี่ ตั้งแต่เขาได้เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งนี้ในวันนั้น ก็รับหน้าที่คอยเฝ้าดูแลสระอัสนีบาต
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อแน่
สีหน้าของอวี้เชียนทวีความเย็นเยียบตามคาด
“หลายปีผ่านมานี้ เจ้าดูแลสระอัสนีบาตแบบนี้เองอย่างนั้นหรือ!”
ใจของมู่ตงโหย่วถึงกับเต้นกระตุกอย่างแรง รีบก้มศีรษะยอมรับผิดทันที
“ตงโหย่วบกพร่องต่อหน้าที่ เสินสื่อลำดับที่สองโปรดลงโทษด้วย!”
“เจ้าไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ เจ้ามันไร้ความสามารถต่างหาก!”
อวี้เชียนแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย
มู่ตงโหย่วถึงกับสะอึก สีหน้าซีดขาว ทว่ากลับคิดคำพูดใดมาโต้แย้งไม่ออก
ข้อนี้เขาไร้หนทางจะตอบโต้โดยแท้ ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ
จิ้นอวิ๋นไหล่พลันถามขึ้นว่า
“เสินสื่อลำดับที่สอง ครั้งนี้ที่สระอัสนีบาตตกสู่ห้วงโกลาหลกะทันหัน สาเหตุหลักมาจากตัวอี้เจา แต่โชคดีที่เขายังมีชีวิตรอดอยู่…“
“ไม่มีกายเนื้อ เหลือแค่วิญญาณดวงเดียวจะไปมีประโยชน์อันใด!”
อวี้เชียนขึ้นเสียงสูง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน
จิ้นอวิ๋นไหล่จึงเงียบปากลง
อวี้เชียนหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามระงับเพลิงโทสะในใจตนอย่างสุดความสามารถ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาลงโทษมู่ตงโหย่ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะปลดเขาออกจากตำแหน่งเลย ในระยะเวลาสั้นๆ ก็หาผู้ใดมาแทนที่เขาไม่ได้
มู่ตงโหย่วมีความสำคัญต่อสระอัสนีบาตแห่งนี้มากแตกต่างจากซูจิ้งโดยสิ้นเชิง จึงย่อมมิอาจหาใครมาแทนได้
นี่เป็นเพราะร่างศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเขาฝึกปรือมานั้นมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างยิ่ง สามารถทนรับพลังของทัณฑ์สวรรค์ได้มากกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว
คนธรรมดากระทั่งจะเข้าใกล้สระอัสนีบาตยังไม่มีปัญญา ทว่ามู่ตงโหย่วกลับอยู่เฝ้าดูแลที่นี่มาได้หลายต่อหลายปี
ดังนั้นแล้ว ต่อให้อวี้เชียนจะรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากเท่าไร ตอนนี้ก็มิอาจแทนที่มู่ตงโหย่วได้อยู่ดี
“เสินสื่อลำดับที่สอง อี้เจาทำเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าอี้กงทรยศเผ่าพันธุ์ บันดาลโทสะเกินรับไหว ถึงได้สังหารเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว เพียงแค่ตัวเขาเองก็ต้องตกอยู่ในห้วงไร้สติเช่นกัน แต่ว่าโชคยังดีที่ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดผู้นั้นน่าจะปลอดภัยดี”
คนที่นางพูดถึงคือถวนจื่อนั่นเอง
เมื่อนึกถึงถวนจื่อ สีหน้าของอวี้เชียนก็ดีขึ้นมาหลายส่วน
ถูกต้องแล้ว
อี้กงกายเนื้อสลายวิญญาณสูญ อี้เจาเองก็เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่โชคยังดีที่ถวนจื่อไม่ได้รับผลกระทบใหญ่โตอะไร
“ซั่งกวนเยว่พานางกลับไปแล้วหรือ?”
เขาถามเสียงทุ้มต่ำ
ซูจิ้งพยักหน้า
“ทันทีที่เกิดเรื่องก็จากไปทันที”
หนีไปได้ไวเสียจริง
เดิมทีคิดว่าครานี้นางตกตายตกอยู่ที่นี่แน่ ใครจะรู้ว่า…
ซูจิ้งหลุบตาลงน้อยๆ แอบซ่อนอารมณ์ในแววตา
ตอนนี้ตำแหน่งถวนจื่อในใจของเสินสื่อลำดับที่สองอยู่สูงมาก นางรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจล้ำเส้นนี้ได้เด็ดขาด
“นับว่าหัวไวทีเดียว”
อวี้เชียนกล่าว ในน้ำเสียงมิได้แสดงอารมณ์อะไร
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าอวี้เชียนมองพฤติกรรมของฉู่หลิวเยว่ที่เสี่ยงตายเพื่อช่วยถวนจื่อออกมาในแง่ดีอยู่ทีเดียว
อย่างไรเสียถวนจื่อก็เพิ่งเปิดเส้นชีพจรเส้นที่เจ็ด หากครั้งนี้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น อวี้เชียนต้องกระอักเลือดเป็นแน่แท้
ซูจิ้งรู้สึกอึดอัดใจอยู่หลายส่วน นางคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“ได้ยินว่านางกับถวนจื่อยกเลิกพันธะกันแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะระวังตัวขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสินสื่อลำดับที่สองถึงอนุญาตให้นางเข้าออกภูเขาเฟิ่งหมิงได้ตามใจ”
อวี้เชียนปรายมองนางอย่างเย็นชา
“ซูจิ้งมิกล้า”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจซั่งกวนเยว่”
อวี้เชียนจ้องมองนางด้วยสายตาราบเรียบ
“ที่อำนาจในการควบคุมยอดเขาโอสถของเจ้าถูกริบคืน ต้องพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับนางอยู่หลายส่วนจริงๆ แต่ว่าสุดท้ายมันก็คือปัญหาของเจ้า ข้าขอเตือนเจ้าข้อเดียว อย่าได้แตะต้องนางเด็ดขาด! ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็เป็นคนที่ถวนจื่อให้ความสำคัญมากที่สุด หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง ถวนจื่อจะทำอันใดบ้างก็มิอาจรับประกันได้ ดังนั้น…เก็บมือเท้าของพวกเจ้าให้ดี อย่าได้ยื่นไปสอดถึงภูเขาเฟิ่งหมิง เข้าใจหรือไม่!”
ประโยคสุดท้ายคือคำขู่โดยไม่อ้อมค้อม!
ในใจของซูจิ้งสั่นไหวระรัว สีหน้าบนใบหน้ารักษาไว้ไม่อยู่แล้วหลายส่วน
“เจ้าค่ะ ซูจิ้งเข้าใจแล้ว”
อวี้เชียนตวัดสายตามองมู่ตงโหย่ว
“ข้าจะส่งตัวเสินสื่อลำดับที่เก้ากับลำดับที่สิบตามมาทีหลัง จากนี้เป็นต้นไป สระอัสนีบาตแห่งนี้ให้พวกเจ้าสามคนผลัดกันเฝ้าดูแล หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รายงานทันที”
“ขอรับ!”
…
เมื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆ เสร็จสิ้น ไม่ช้าอวี้เชียนก็ปลีกตัวจากไป
บรรยากาศภายในบริเวณนี้จึงได้ผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน
จิ้นอวิ๋นไหล่เอ่ยขึ้นมาว่า
“ในเมื่อเสินสื่อลำดับที่สองจัดแจงแผนเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลาไปก่อน”
มู่ตงโหย่วผงกศีรษะ จากนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก จึงเรียกรั้งเขาไว้
“ช้าก่อน!”
จิ้นอวิ๋นไหล่หันศีรษะกลับมา
“เจ้ากับเฉินอีผู้นั้นรู้จักมักจี่กันหรือ?”
“ความหมายของเสินสื่อลำดับที่สี่คือ…”
จิ้นอวิ๋นไหล่ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะถามถึงเฉินอีขึ้นมา
มู่ตงโหย่วกล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเขาต่อสู้ ความสามารถโดดเด่นทีเดียว”
แม้ตอนนั้นสถานการณ์จะวุ่นวายอย่างมาก แต่เขาก็ยังทันเห็นตอนเฉินอีลงมือช่วยฉู่หลิวเยว่สกัดกั้นการโจมตีไว้
จิ้นอวิ๋นไหล่ผงกศีรษะรับ
“ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เฉินอี พวกข้ารับใช้ที่ฉู่หลิวเยว่พามาด้วยล้วนมีทักษะและพรสวรรค์ที่นับว่ายอดเยี่ยม เพียงแต่ว่า…พวกเขาไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
และเพราะเช่นนี้เอง เขาจึงมิได้นำคนพวกนั้นมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
มู่ตงโหย่วได้ยินดังนั้นก็ผงกศีรษะ
“ข้านึกออกแล้ว ซั่งกวนเยว่และซื่อจิงผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
ในเมื่อไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นต่อไปก็หมดหวังจะขึ้นสวรรค์บรรลุสู่เทพแล้ว
เขาโบกมือไปมา
“ช่างเถอะ”
…
ตู๋กูโม่เป่ากำลังนั่งอยู่อย่างเงียบสงบภายในกรงขังคับแคบมืดสลัว
บริเวณโดยรอบเงียบสงัดเสียจนยลยินเสียงเข็มร่วงได้
ทันใดนั้น สุรเสียงแหบพร่าก็ดังแว่วขึ้นมา
“เจ้าปกป้องตัวเองยังแทบจะไม่รอด ยังคิดจะไปช่วยอี้เจาอีก?”
ตู๋กูโม่เป่าลืมตา นัยนาสีม่วงคู่นั้นทั้งใสกระจ่างและลึกล้ำ
“เขาคือทายาทของอี้หลิง ข้าย่อมต้องปกป้องเขา”