ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2309 ใต้ทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 2309 ใต้ทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์
………………..
ความเร็วของฉู่หลิวเยว่ว่องไวอย่างยิ่ง
เกลียวคลื่นในผืนทะเลสีน้ำเงินเข้มโถมสาดซัด ลึกลับยากจะคาดเดา
ลมทะเลแฝงไอเย็นยะเยือกพัดวูบปะทะเข้าผิวหน้า ยกเรือนผมดำสลวยของนางและชายเสื้อคลุมให้ปลิวตามแรงลม
กระแสพลังอันเข้มข้นแต่ละสายเข้าปะทะกัน ก่อตัวเป็นแรงกดดันมหาศาลอันหนักหน่วงยิ่ง กระทั่งทำให้ช่องว่างเหนือผืนทะเลดูมีน้ำหนักดุจโคลนตมยากจะฝ่าได้ก็มิปาน
ร่างของฉู่หลิวเยว่พลันทอแสงเรืองรอง
ชิ้ง!
กระบี่ดาราเลือนถูกนางอัญเชิญออกมากำไว้ในมือมั่น
แสงสีทองบางเบาทอประกายสว่างวาววับ ยามอยู่ระหว่างผืนฟ้าอันมืดมิดและผืนน้ำทะเลแล้วก็สว่างเจิดจ้าและโดดเด่นจับตายิ่งกว่าอะไร
ยิ่งก้าวไปข้างหน้าเท่าไร แรงกดดันยิ่งทวีความหนักอึ้งมากเท่านั้น
กลิ่นคาวเลือดที่อวลอยู่ในอากาศค่อยๆ แผ่กระจายออกมา
บางเบายิ่ง ทว่าก็มิถึงขั้นจะเมินเฉยไปได้โดยง่าย
ในใจของฉู่หลิวเยว่ถึงกับเย็นวาบ
ทันใดนั้นเอง ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงัก ก่อนจะจดจ้องสายตาไปยังทิศทางเบื้องหน้า
บนผิวน้ำทะเลที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีกลุ่มน้ำวนอันลึกล้ำสายหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้
น้ำทะเลที่อยู่โดยรอบหลั่งไหลรวมเข้าไปในน้ำวนนั้นอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งสุรเสียงใดแม้เพียงนิด
หากมิใช่เพราะฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ใกล้ คงไม่อาจเห็นมันด้วยซ้ำ
กระแสพลังอันแข็งแกร่งหาสิ่งใดเปรียบเองก็กำลังหลั่งไหลไปยังทิศทางเบื้องล่างเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้มียันต์ผนึกขนาดใหญ่เท่าฝ่ามืออันหนึ่งกำลังลอยเคว้งอยู่เหนือศีรษะเขาอย่างเงียบงัน ประกายแสงสีชาดเจือจางลอยวนอยู่รอบกาย ก่อร่างขึ้นเป็นค่ายกลคงกำเนิด
กระแสพลังอันรุนแรงแข็งกร้าวเหล่านั้นเข้าปะทะอย่างแรง ก่อนจะถูกกลืนกินไปอย่างเงียบเชียบโดยมิทันได้ส่งเสียง
กระแสพลังที่บรรจุในยันต์ผนึกแข็งแกร่งและสูงส่งยิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากตัวหนานจิ่นซูแต่อย่างใด
มันคือยันต์ผนึกของเสินสื่อลำดับที่หนึ่งนั่นเอง!
ใจของฉ่หลิวเยว่กระตุกกึก นางขยับเข้าใกล้ไปมากกว่าเดิมหลายส่วนด้วยอยากมองดูให้ถนัดตาขึ้น
นางรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวเสินสื่อลำดับที่หนึ่งผู้นี้อย่างมากโดยแท้
หลังจากมาถึงพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางก็ได้ทยอยพบเจอกับเสินสื่อทั้งหลายทีละคน
แต่ผู้ที่ลึกลับที่สุดก็หนีไม่พ้นเสินสื่อลำดับที่หนึ่ง
แม้จะยังไม่เคยพบพาน แต่นางก็สัมผัสได้ว่าสถานะของเสินสื่อลำดับที่หนึ่งนั้นสูงส่งห่างจากเสินสื่อคนอื่นอยู่มากโข
แม้แต่ตัวเสินสื่อลำดับที่สองผู้สูงส่งเช่นอวี้เชียนก็เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมีอำนาจควบคุมดูแลทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
หากคิดจะช่วยผู้อาวุโสลำดับห้าออกมา จะต้องหาทางผ่านด่านที่มีชื่อว่าเสินสื่อลำดับที่หนึ่งไปให้ได้
ทว่าทันทีที่เคลื่อนตัวไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย นางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่างสายหนึ่งกำลังยับยั้งตนเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่นิ่วหน้าน้อยๆ
ลมปราณสายนี้…เหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอยู่มากนัก
ความรู้สึกที่จับต้องได้ที่มิอาจบรรยายออกมาได้ชัดเจน แต่ก็มีความคุ้นเคยอันอธิบายไม่ถูกแฝงอยู่โดยแท้จริง เหมือนกับ…เคยพบเจอที่ใดก็มิปาน
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ทว่าก็นึกไม่ออก จึงทำได้แค่ละความสนใจจากความคิดนี้ไปก่อนชั่วคราว
ลมปราณบนร่างของหนานจิ่นซูแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปในทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์ในท้ายที่สุด!
…
ทันใดนั้นเอง หมอกดำกลุ่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างอยู่นอกกรง
เสียงหังเราะแหบพร่าแลเย็นเยียบดังออกมาจากหมอกกลุ่มนั้น
“นางเข้าไปในทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว…เห็นได้ชัดเลยว่านางใส่ใจในตัวผู้อาวุโสห้ามากจริงๆ ถึงกับยอมเสี่ยงโดยไม่คิดเสียดายชีวิตเช่นนี้เพื่อช่วยเขา…เฮอะ ต่อให้ครานี้อาวุโสห้าต้องดับดิ้น ก็คงตายตาหลับได้แล้วกระมัง?”
แม้จะกำลังหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงด้วยแววเกลียดชังและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ครานั้นจู่ๆ ผู้อาวุโสลำดับห้าก็แปรพักตร์ แล้วเลือกที่จะทรยศ หนี้แค้นครานี้…ยังไม่ได้รับการชำระให้เสร็จสิ้น!
หว่างคิ้วของตู๋กูโม่เป่าค่อยๆ คลายปมลง ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพราบเรียบไร้อารมณ์ดั่งเก่า
“การที่นางไปทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วมิใช่หรือไร ไม่ว่ายอดเขาโอสถ สระอัสนีบาต ภูเขาเฟิ่งหมิง หรือแม้กระทั่งตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์…มีที่ใดบ้างที่นางไปไม่ได้”
“นางในตอนนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
คนที่อยู่ตรงข้ามพลันกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันควัน สุรเสียงแปรเปลี่ยนเป็นแหลมเสียดหู
“อย่าลืมสิว่าทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้อยู่ภายใต้อำนาจของใคร! การที่นางไปคราวนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายให้ตัวเองก็เท่านั้น!”
ตู๋กูโม่เป่าพลันหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง เอ่ยเหน็บแนมว่า
“เจ้ายังไม่กล้าฆ่าข้าด้วยซ้ำ ไหนเลยจะกล้าฆ่านาง?”
บุคคลภายในกลุ่มหมอกดำพลันเงียบไป
เวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก
“เจ้าพูดถูก ตอนนี้ข้าไม่กล้าเอาชีวิตของพวกเจ้าสักคนจริงๆ แต่…ถ้าเจ้าคิดว่าข้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้เลย นั่นก็ออกจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย”
“ตอนหลานเซียวหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เขาดูดกลืนทัณฑ์สวรรค์สีทองไปห้าเส้นใช่หรือไม่เล่า?”
ใจของตู๋กูโม่เป่าพลันดิ่งวูบ!
จากนั้น ก็ได้ยินสุ้มเสียงนั้นเอ่ยต่อว่า
“บัดนี้เสินสื่อลำดับที่ห้ากำลังต้องการหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาพอดี น่าเสียดายที่สระอัสนีบาตปิดผนึกไปแล้ว จึงต้องเลื่อนกำหนดการออกไป แม้ข้าจะมิอาจสังหารหลานเซียวได้ แต่การช่วงชิงพลังของทัณฑ์สวรรค์ในร่างของเขานั้นง่ายดุจพลิกฝ่ามือเทียวล่ะ!”
ตู้ม…
ฉู่หลิวเยว่พุ่งกระโจนเข้าไปในน้ำทะเล
เพียงพริบตา ไอเย็นวาบอันหนาวลึกถึงกระดูกพลันแล่นปราดเข้ามาจากทั่วทุกทิศทางราวกับเข็มแหลมที่คอยทิ่มแทงไม่หยุดหย่อนก็แทงปราดเข้าทั่วทั้งร่างกายทันที!
ฉู่หลิวเยว่สะบัดฝ่ามือแผ่วเบา ค่ายกลโปร่งแสงอันงดงามอันหนึ่งก็เช้าปกคลุมตัวนางทันใด
เมื่อมีการป้องกันจากค่ายกลชั้นหนึ่ง ความรู้สึกเย็นเยียบจนเสียดกระดูกเหล่านั้นก็อ่อนลงไปไม่น้อย
นางตวัดสายตามองไปยังเบื้องหน้า
พอมาอยู่ตรงนี้ นางก็สามารถมองเห็นเงาร่างของหนานจิ่นซูได้อย่างชัดเจนมากกว่าเก่า
กระแสน้ำวนสายนั้นยังคงรวบรวมพลังจากบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็พร้อมใจกันหลั่งไหลเข้าไปในวิญญาณเทวาเหนือศีรษะของเขา
เขาหลับตาปี๋ สองหมัดกำเข้าหากันแน่น คิ้วขมวดจนเป็นปม ดูเหมือนกำลังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
กระแสพลังภายในผืนทะเลแห่งนี้เพียงพอที่จะชิงชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้ทันที ดังนั้นต่อให้เป็นระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องเผชิญความทรมานจากที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย
นี่คือสภาพผลลัพธ์ในตอนที่เขามียันต์ผนึกคุ้มกันกายด้วยซ้ำ
หากตัวหนานจิ่นซูมาเองแล้วไซร้ เกรงว่าคงไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าระดับเทพขั้นสูงเหล่านั้นสักเท่าไร
ลำแสงเรืองรองจางๆ ดุจเส้นไหมสายหนึ่งพลันปรากฏเบื้องหน้าของฉู่หลิวเยว่
น้ำทะเลโหมซัด ลำแสงสายนี้ก็เคลื่อนโค้งไปตามกระแสคลื่น ลอยล่องอย่างแผ่วเบา
ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกถึงความกระวนกระวายลึกลงในใจที่แล่นปราดขึ้นมา
นางตัดสินใจเบี่ยงกายออก ก่อนไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งข้างๆ กัน
ลำแสงดุจเส้นไหมสายนั้นก็ลอยตามฝีเท้าของนางมาด้วย
รอยแตกของช่องว่างสีดำอันเฉียบบางสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตามมา!
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่พลันหดเล็กลง!
………………..