ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2317 สายตาที่มืดบอด
ตอนที่ 2317 สายตาที่มืดบอด
………………..
สิ่งสำคัญที่สุดดูเหมือนเขาจะมาผิดเวลาอย่างมาก
สองคนที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงนี้จึงหันไปมองที่นอกประตู
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ท่านนี้คือ…”
หัวใจของหมิงซูสั่นไหวอย่างรุนแรง
เดิมทีเขาอยากจะวิ่งหนีไป แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว
หากพูดให้เข้าไป…
ขาของเขากลับขยับไม่ได้จริงๆ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากพลางพูดขึ้น
“ใต้เท้าหมิง ท่านมาได้อย่างใด รีบเข้ามาเถอะ”
เมื่อฮูหยินมีคำสั่งก็มิอาจปฏิเสธได้
หมิงซูกลั้นหายใจอย่างเงียบๆ และกัดฟันก้าวเท้าที่แข็งทื่อเข้าไปในห้อง
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืน
“หรงซิว ขอแนะนำท่านนี้ก็คือใต้เท้าหมิงซูแห่งร้านเจินเป่าเก๋อ เขาปฏิบัติต่อข้าอย่างดีเสมอมา และก่อนหน้านี้ก็เคยช่วยข้าไว้ไม่น้อย”
ริมฝีปากบางสีแดงอ่อนๆ ของหรงซิวโค้งงอขึ้น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ใต้เท้าหมิงซู ได้ยินชื่อเสียงมานาน”
หมิงซูขาอ่อนลงเล็กน้อย เขาฝืนให้ตนเองคุกเข่าทำความเคารพ และพูดขึ้นอย่างฝืนยิ้มว่า
“มิกล้า มิกล้า! ข้าต่างหากที่ชื่นชมท่านทั้งสองมานาน! ฮ่า…”
หรงซิวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อใต้เท้าหมิงซูดูแลเยว่เออร์เป็นอย่างดี ข้าในฐานะสามีของนาง ย่อมต้องขอบคุณท่านยิ่งนัก”
หมิงซูไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกมา
“แค่ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้เกรงใจ อย่าได้เกรงใจ!”
ในขณะนี้ เขาซาบซึ้งในผู้ดูแลรองอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนี้คอยเตือนเขา เขาคงไม่รู้ตัวว่าทำผิดกับฮูหยินไปตั้งแต่เมื่อใด ไฉนเลยยังสามารถยืนพูดต่อหน้าคนผู้นี้ได้เฉกเช่นตอนนี้เล่า?
ฉู่หลิวเยว่ยกมือพลางพูดขึ้น
“ใต้เท้าหมิงซูเชิญนั่ง มีเรื่องอันใดก็ค่อยๆ พูดเถิด”
หมิงซูจะกล้านั่งได้อย่างใด
เขากระแอมไอและโบกมือพลางพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ที่ข้ามาวันนี้เพียงแค่มีเรื่องต้องการจะพูดกับท่าน พูดจบแล้วข้าก็จะไป”
ฉู่หลิวเยว่มองหมิงซูและรู้สึกว่าวันนี้เขามีท่าทางผิดแปลกไป ดูเหมือน…ตื่นกลัวอย่างมาก?
“สามารถทำให้ท่านมาที่นี่ด้วยตนเอง ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน เชิญท่านพูดเถิด”
หมิงซูพยามยามทำให้สีหน้าท่าทางของตนดูสงบนิ่งเหมือนกับในวันปกติทั่วไปและกล่าวขึ้น
“คือว่า ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสอบถามท่านว่า ในช่วงเวลานี้ท่านได้ติดต่อกับมู่หยาเฟิงหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“มู่หยาเฟิง? ไม่ เหตุใดหรือ”
หมิงซูขมวดคิ้ว
“อันที่จริงก็ไม่มีอันใด ก็แค่ตั้งแต่เมื่อวานมู่หยาเฟิงก็เริ่มออกเดินทางไปยังเส้นทางแห่งดวงดาวอีกครั้ง และในเวลาเพียงวันเดียวก็สามารถบรรลุค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามได้ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ก็เลยลองมาถามท่าน ดู…”
“ใต้เท้าหมิงซูคิดว่าข้าเปิดเผยเนื้อหาในภาพทมิฬสิ้นอัคคีให้กับนางหรือ”
“ท่าน โปรดอย่าเข้าใจผิด”
มิงซูอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“ข้าแค่คิดว่าเรื่องนี้ดูแปลกไปจริงๆ ดังนั้นจึงถามท่านเพื่อความแน่ใจ สุดท้ายแล้วการบรรลุค่ายกลนั่นยากลำบากอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางไม่มีความคืบหน้าใดๆ มาเป็นเวลานาน จู่ๆ สิ่งนี้ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด…”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“สิ่งที่ใต้เท้าหมิงซูพูดก็มีเหตุผล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเซียวหรานเคยกล่าวไว้ว่า ในปีนั้นเขาใช้เวลาหลายปีในการทำความเข้าใจค่ายกลในระดับยอดปรมาจารย์เหล่านั้นจึงบรรลุได้ เดิมทีเขาคาดการณ์ว่ามู่หยาเฟิงก็น่าจะใช้เวลานานกว่านั้น จึงจะสามารถบรรลุค่ายกลระดับนี้ได้เช่นกัน…”
ก่อนหน้านี้นางยุ่งอยู่กับเรื่องที่ทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามู่หยาเฟิงมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
บัดนี้เมื่อได้ยินเข้านางก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก
“ภาพทมิฬสิ้นอัคคีคือของล้ำค่าของร้านเจินเป่าเก๋อ เมื่อตอนที่ข้าตกลงช่วยทำสำเนา ข้าก็ได้ทราบถึงกฎระเบียบแล้วว่าไม่สามารถเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบได้ง่ายๆ ยิ่งคนเหล่านี้ที่เป็นลูกน้องของข้าเอง ข้าก็ไม่เคยบอกให้พวกเขารู้แม้แต่ครึ่งเดียว สิ่งนี้ใต้เท้าหมิงซูสามารถวางใจได้”
หมิงซูรีบพูดขึ้นทันที
“แน่นอนว่าข้าเชื่อในตัวท่าน และข้าไม่ได้สงสัยในเจตนาของท่านเลย!”
สวรรค์ทรงเมตตา!
จริงๆ แล้วเขาเพียงแค่รู้สึกสงสัย ดังนั้นเลยลองมาถามดู แต่จะไปรู้ได้อย่างใดว่าจะเจอกับคนผู้นี้เข้า?
เช่นนี้ไม่ใช่การสงสัยต่อหน้าว่าฮูหยินมีปัญหาเหรอ
ต่อให้ให้เขามีความกล้าเพิ่มอีกสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าทําเช่นนี้หรอก!
หากรู้เร็วกว่านี้ว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่ เขาจะไม่ก้าวเข้ามาในลานบ้านแม้แต่ก้าวเดียว!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้น
“เข้ารู้ว่าใต้เท้าหมิงซูไม่ได้มีเจตนาร้าย จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ท่าน พอข้าได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน ความสามารถของมู่หยาเฟิงมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่จากความสามารถของตัวนางเอง หากคิดจะบรรลุค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ คงเป็นไปได้ยากจริงๆ”
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ยังคงพูดแบบอ้อมค้อม
จริงๆ แล้ว ควรจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้
หากนางมีความสามารถนี้มานานแล้ว นางก็คงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางบนเส้นทางแห่งดวงดาวมาเป็นเวลายาวนานเช่นนี้
ในสายตาของคนในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์พวกเขามองว่า มู่หยาเฟิงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก
แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่…
ก็แค่ธรรมดาเท่านั้น
หมิงซูโล่งใจและกล่าวอีกว่า
“ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้นางยังไม่สำเร็จยังคงอยู่ในเส้นทางแห่งดาว เมื่อครู่ระหว่างทางที่ข้าเพิ่งผ่านมาได้มองดูอยู่พักหนึ่ง และคงจะผ่านได้อย่างราบรื่นอย่างมากอยู่หลายส่วน”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
“ความหมายของท่านคือ…นางคิดที่จะไปบรรลุเส้นทางแห่งดวงดาวให้สำเร็จและเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์อย่างน้ันเหรอ”
หมิงซูชะงักไป
“พูดได้ไม่ง่าย แต่ถ้าการแสดงออกของนางยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เช่นนั้น…คาดว่านางอาจจะทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แท้จริงแล้วนางกลับไม่ได้สนใจมู่หยาเฟิงมากนัก
แต่เรื่องนี้มันดูแปลกประหลาดจริงๆ
ไม่เช่นนั้นหมิงซูคงจะไม่มาถึงที่นี่โดยเฉพาะ
“เหตุผลที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อพูดถึงเรื่องนี้เป็นหลัก ท่านจะคิดเห็นอย่างใด ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว”
หมิงซูกล่าวขึ้น
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ขอบใจใต้เท้าหมิงซูที่เตือน”
หมิงซูโบกมือ
“เช่นนั้น…ถ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน ที่ร้านเจินเป่าเก๋อยังมีเรื่อเล็กน้อยต้องไปจัดการ แค่กๆ”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินจึงไม่ได้รั้งเขาไว้
“ข้าจะไปส่งท่าน”
“ไม่ต้องหรอก จะเป็นการรบกวนท่านทั้งสอง เดียวข้าก็จะไปแล้ว”
หมิงซูกล้าดีอย่างใดจะให้เขาทั้งสองคนไปส่งจริงๆ หรือ
พูดไปพลางก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน
“ใต้เท้าหมิงซู เดินทางปลอดภัย”
หรงซิวกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย
ใต้เท้าของหมิงซูโอนเอนไปมา ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขา
เขาพยายามควบคุมสติให้มั่นคงและเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง จากนั้นหางตาของเขาก็กระตุกขึ้นทันที
“เยี่ยนนน”
เยี่ยนชิงยืนถือกระบี่ด้วยใบหน้าที่งดงามและเยียบเย็นโดยมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงแค่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
หมิงซูรีบกลืนคำพูดที่เหลือลงไปและพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพแล้วจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาก้าวฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
แทบจะในชั่วพริบตาเขาก็เปิดประตูใหญ่ของลานบ้านและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“…รีบร้อนเช่นนี้”
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ด้านหลังของหมิงซูและพูดกระซิบเบาๆ ขึ้นว่า
“คนที่เขาพูดถึงเมื่อครู่ คือคนที่เคยมาหาเจ้าเพื่อขอภาพทมิฬสิ้นอัคคีใช่หรือไม่”
หรงซิวหันไปถาม
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างอยู่
“เป็นเพราะนาง แต่ด้วยความเข้าใจที่ข้ามีต่อนาง นางน่าจะทำเรื่องนี้ไม่ได้…”
ถึงแม้ว่าจะกลับไปเก็บตัวมาสักระยะหนึ่ง ก็ไม่น่าจะก้าวหน้าได้ขนาดนี้
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ดให้ความสำคัญกับนางอย่างมาก ไม่รู้ว่านางได้ไปขอคำแนะนำจากเขาหรือไม่”
หรงซิวยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย
“เช่นนั้นเสินสื่อลำดับที่เจ็ดคงมีสายตาที่มืดบอด”