ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2318 ข่าว
ตอนที่ 2318 ข่าว
………………..
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและเยือกเย็น เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาแวบหนึ่งพลางย่นจมูกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า
“ผู้ที่กล้าว่าเสินสื่อลำดับที่เจ็ดสายตามือบอด มีไม่กี่คนหรอก”
เสินสื่อที่อยู่ในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์มีสถานะสูงส่งยิ่งนัก แม้หลายคนจะกล่าวถึงพวกเขายังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวิจารณ์พวกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
หรงซิวก้มลงและลูบจมูกของนางอย่างเบาๆ
“หรือข้าพูดผิด เขาเองก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกล จะมองไม่เห็นพรสวรรค์ของเยว่เออร์ของข้าได้อย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่ และพูดขึ้นอย่างทอดถอนใจว่า
“เพราะข้าไม่มีตราสัญลักษณ์แห่งสายเลือด?”
ตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่นางก็ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการไม่มีตราสัญลักษณ์แห่งสายเลือดนั้น จะต้องเผชิญกับการดูถูกและเยาะเย้ยมากมายเพียงใด
ดวงตาของหรงซิวหรี่ลงเล็กน้อย ปลายนิ้วค่อยๆ แตะหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
ในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว นางขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อยและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า
“หรงซิว นาฬิกาไร้กาลเวลา…ทดสอบได้เฉพาะผู้ที่มีพลังสายเลือดเท่านั้นหรือ”
หรงซิวจ้องมองนาง
ชั่วครู่ เขาจึงพูดขึ้น
“แน่นอน”
…
ปัง!
แสงสว่างพุ่งขึ้น จากนั้นก็แผ่กระจายกลายเป็นค่ายกลที่งดงามเจิดจรัส
มู่หยาเฟิงแหงนหน้ามองด้วยสายตาที่ปิดไม่มิดถึงความตื่นเต้นและดีใจ
ลำดับที่สี่!
นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นางสามารถบรรลุค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่บนเส้นทางแห่งดวงดาวได้ติดต่อกัน!
และใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองวันเท่านั้น!
ไม่ไกลจากด้านหลังของนาง มีผู้คนจำนวนมากกำลังเฝ้ามองอยู่
เมื่อเห็นว่านางสามารถทะลวงค่ายกลได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง ผู้คนต่างกระสับกระส่ายขึ้นทันที
“เกิดอันใดขึ้นกับมู่หยาเฟิง จู่ๆ ก็เก่งกาจขึ้นมาอย่างกะทันหัน?”
“ยิ่งเดินไปข้างหน้า ค่ายกลก็ยิ่งซับซ้อนและยากจะแก้ไข ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนนางติดอยู่ในค่ายกลนานมาก และสุดท้ายก็แก้ไม่ได้ ต้องยอมแพ้อย่างน่าเสียดาย นี่ผ่านมาไม่นาน นางกลับมาอีกครั้งและก้าวหน้าได้อย่างราบรื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
“นางมีพรสวรรค์โดดเด่นมาโดยตลอด บางทีอาจจะบรรลุขั้นขึ้นมาในทันทีโดยที่ใครก็ไม่อาจรู้ได้…”
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ครั้งนี้นางจะสามารถบรรลุค่ายกลทั้งหมด และเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ”
“เดิมที่ข้าคิดว่าจะเป็นซั่งกวนเยว่…”
“ฮ่า พูดเล่นอันใดกัน ซั่งกวนเยว่เก่งก็จริง แต่นางไม่มีตราแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นี่! อย่างใดก็ไม่มีทางเป็นนางไปได้หรอก!”
“ที่พูดมาก็จริง…แต่นอกจากจุดนี้แล้ว นางก็เป็นคนเก่งจริงๆ พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่านางไปทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์และกลับมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังจัดการหนานจิ่นซูจนเสียท่าไปได้! ถ้าไม่มั่นใจ นางจะกล้าทําเช่นนี้หรือ”
เมื่อได้ยินคำชื่นชมและความอิจฉาที่ผู้คนมีต่อนาง อารมณ์ของมู่หยาเฟิงก็ดีขึ้นมาก
ทว่าชื่อที่ปรากฏออกมาในภายหลังนั้น กลับทําให้สายตาของนางเย็นชาลงเล็กน้อย
หึ
ทว่าก็แค่พึ่งพาพรสวรรค์ไม่กี่ส่วนของตนเอง ถึงได้ทำอันใดที่กล้าบ้าบิ่นก็เท่านั้น
ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ยังอาศัยถวนจื่อยื่นข้อเรียกร้องต่างๆ กับเสินสื่อลำดับที่สอง
“เสินสื่อลำดับที่สองอาจยอมให้นางได้ครั้งสองครั้ง หากหลายครั้งเข้าก็พูดได้ยากนัก”
มู่หยาเฟิงส่ายหัว พยายามสะบัดความคิดที่วุ่นวายในใจออกแล้วเดินหน้าต่อไป!
“ครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างใดนางจะต้องเดินจนสำเร็จในเส้นทางแห่งดวงดาว และเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ให้ได้!”
…
ในลานบ้าน หรงซิวและฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งเผชิญหน้ากัน
ตรงกลางระหว่างทั้งคู่มีกระดานหมากรุกโปร่งแสงลอยอยู่เงียบๆ
บนกระดาน หมากทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองกระดานพลางลูบคางอย่างครุ่นคิด
ตั้งแต่ที่นางได้ดู ‘ภาพทมิฬสิ้นอัคคี’ และทะลวงขั้นเป็นยอดปรมาจารย์ ในการฝึกฝนค่ายกลนางก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
ทว่าหลังจากได้ประมือกับหรงซิวเช่นนี้ นางกลับรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่ลึกซึ้งอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่ว่านางจะเดินไปทางไหน ก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้อีก
ทำได้เพียงรอคอยให้คนอื่นกำจัดทิ้งโดยสิ้นเชิง
“นายท่าน นั่น นั่น! เดินไปทางนั้น!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองด้วยความรู้สึกจำใจเล็กน้อย
“เสี่ยวปา ข้าบอกกฎในการดูหมากรุกและห้ามพูดกับเจ้าไปกี่ครั้งแล้ว เจ้าทาเล็บอย่างสบายใจไปไม่ดีกว่าหรือ”
เสี่ยวปาชำเลืองมองด้วยริมฝีปากแดงและยกมือขึ้น
“นายท่านเล่นหมากรุกไม่ชนะ ข้าจะใจเย็นได้อย่างใดล่ะ ท่านดูสิ เล็บข้าเลอะไปหมดแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่
“…นี่เจ้ากำลังดูถูกฝีมือของนายเจ้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวปาหรี่ตาลงและพูดด้วยรอยยิ้มในทันทีว่า
“ที่ไหนกัน!! ข้าทำก็เพื่อท่านไม่ใช่หรือ! ท่านดูสิ ท่านสู้กับองค์ชายมาหลายปี ก็แทบไม่เคยชนะเลย”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เรื่องนี้ข้าจำได้อย่างชัดเจน อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือนหรอก
นางเชยคางขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าคิดจะให้ข้าไปทางนี้?”
เสี่ยวปาตอบกลับด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”
“เช่นนั้นเจ้าดูดีแล้วหรือ”
ฟึบ!
ฉู่หลิวเยว่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พลังปราณศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันกลายเป็นหมากพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วและตกลงในตำแหน่งที่เสี่ยวปาทำสัญลักษณ์เอาไว้
ดวงตาคู่หงส์อันสงบนิ่งของหรงซิว เมื่อเขาสะบัดมือมันจึงกดลงไป
ราวกับดาบที่ฟาดฟันลงมา ปิดเส้นทางสุดท้ายของฉู่หลิวเยว่จนหมดสิ้น!
ฉู่หลิวเยว่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับหมดหนทางและพูดขึ้นว่า
“เห็นชัดหรือไม่ ทําตามที่เจ้าบอก จะทําให้นายของเจ้าตายเร็วขึ้น”
เสี่ยวปาก้มหัวด้วยความรู้สึกผิด
“โธ่ นายท่าน ข้าก็เพิ่งเรียนมาได้ไม่นาน แน่นอนว่าคงเปรียบเทียบกับท่านและองค์ชายไม่ได้…ข้าสัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่พูดอีกแล้วแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขึ้น
“ครั้งที่แล้วกับครั้งก่อนหน้านั้น เจ้าก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
เสี่ยวปาเม้มริมฝีปากแน่น ทำท่าทางเหมือนถูกเย็บด้วยเข็ม
“อย่างใดแล้วเจ้าก็ไม่เคยจำเป็นบทเรียนอยู่ดี”
นางเคยชินเสียแล้ว
เสี่ยวปาน้ำตาคลอ
นางอยากช่วยให้นายท่านชนะจริงๆ นะ!
ในเวลาเดียวกันซื่อจิงกลับมาจากข้างนอกพอดี
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ซื่อจิง นี่เจ้าไปที่ใดมา”
ตั้งแต่นางกลับมาจากทะเลมายาศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เห็นซื่อจิงอีกเลย
ซื่อจิง ทำความเคารพตามลำดับและอธิบายขึ้น
“นายท่าน ข้าไปสระอัสนีบาตมา ขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“สระอัสนีบาตถูกปิดกั้นไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ตอนนี้ในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์น่าจะไม่มีใครไปที่นั่นแล้ว
ซื่อจิงยิ้มอย่างเงียบๆ
“ใช่ ขอรับ! แต่ข้าแค่ไปดูที่ชายฝั่งเท่านั้น ไม่ได้ทำอื่นใดเลย”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้น
“ทัณฑ์สวรรค์ทั้งหมดในสระอัสนีบาตล้วนถูกแช่แข็งเอาไว้ มีอันใดน่าดูกัน”
ซื่อจิงตอบกลับว่า
“ไม่มี ขอรับ! นายท่าน ทัณฑ์สวรรค์สระอัสนีบาตมีจำนวนมาก เสินสื่อลำดับที่สองและกลุ่มของเขาได้ผนึกด้านบนเอาไว้แล้ว แต่ด้านล่างนั้นยังปกติดีอยู่!”
ฉู่หลิวเยว่ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อ้อ? เจ้ารู้ได้อย่างใด”
เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดที่คนทั่วไปไม่สามารถคาดเดาได้
ซื่อจิงชะงักไปครู่หนึ่งและพูดขึ้น
ก็… คาดเดา…ทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ด้านล่างยังคงพลุ่งพล่านไปทั่ว ถ้ายืนใกล้ๆ และดูอย่างละเอียดก็จะมองออก ขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเขาด้วยความสนใจ
“ซื่อจิง”
“เฮ้”
“เจ้า”
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ เฉินอีก็ผลักประตูเข้ามา
“นายท่าน”
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่ต่างจากปกติ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่าต้องมีเรื่องอันใดบางอย่างเกิดขึ้น นางจึงรีบถามในทันที
“เกิดอันใดขึ้น”
เฉินอีมาอยู่ตรงหน้านาง
“ชีหานส่งข่าวมาว่า พวกเขาได้พบจิ่วหลงกับสีเยี่ยนที่สุสารสังหารเทพแล้ว”
“อันใดนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจอย่างกะทันหันจนลุกขึ้นยืน
เพราะตกใจมากเกินไป นางไม่ทันได้สังเกตว่าเฉินอีไม่ได้เรียกทั้งสองคนว่าเสินสื่อ แต่เรียกชื่อของพวกเขาตรงๆ แทน
………………..