ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2320 ฝ่ายกระทำ
ตอนที่ 2320 ฝ่ายกระทำ
………………..
ในเมื่อจิ้นอวิ๋นไหล่ไม่ได้ปรากฏตัว ฉู่หลิวเยว่จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ที่เสินสื่อลำดับที่หนึ่งลงมืออย่างกะทันหันกลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
หรือว่าท่านผู้นี้จะออกจากการเก็บตัวแล้วอย่างนั้นหรือ
แต่เรื่องการเปิดประตูแดนสวรรค์ ดูเหมือนไม่ว่าจะอย่างใดก็ตาม ก็ไม่ใช่เขาที่เป็นคนทำ…
หรงซิวจับมือนางไว้
“มิอาจชักช้าได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตากลับมา และพยักหน้าเบาๆ
ร่างของทั้งสองหายวับไปอย่างรวดเร็วที่ด้านนอกประตูแดนสวรรค์
ไม่นานนัก ค่ายกลก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและทุกอย่างก็สงบนิ่งดังเดิม
…
การจากไปของฉู่หลิวเยว่และหรงซิวไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
ด้านหนึ่งผู้คนจำนวนมากต่างจับจ้องไปที่มู่หยาเฟิง อีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนไหวที่ประตูแดนสวรรค์นั้นเล็กน้อยมาก ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น
มีเพียงเสินสื่อที่เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ เท่านั้นที่รับรู้ถึงพลังสั่นสะเทือนนี้ จึงพากันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกตะลึง
นี่คือ…
เสินสื่อสำดับที่หนึ่งลงมือแล้ว!
ประเด็นสำคัญคือ…ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่พักของจิ้นอวิ๋นไหล่?
ในขณะนั้นเสินสื่อหลายท่านรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จิ้นอวิ๋นไหล่อยู่!
เสินสื่อลำดับที่หนึ่งเก็บตัวมาหลายปี และตอนนี้เขาได้ลงมือแล้ว ดังนั้นพวกเขาต้องไปสืบหาความจริงอย่างแน่นอน
…
ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ภายในห้องขนาดใหญ่กลับเงียบสงัดและวังเวง
จิ้นอวิ๋นไหล่ยืนอยู่ตรงนั้น กำหมัดแน่น ราวกับพลังส่วนใหญ่ในร่างถูกดูดออกไปจนหมด แม้แต่การพูดก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก
สีหน้าของเขาขาวซีดสลับไปมา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย ราวกับทั้งตัวตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
คำถามของเสินสื่อลำดับที่หนึ่ง แต่ละคำแต่ละประโยค ทั้งสุขุมและเรียบเย็น!
ผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาจึงเอาเสียงของตนเองกลับมาได้
“ข้าเพียงแค่…เพียงแค่เตือนสตินางเล็กน้อย…”
“เล็กน้อย?”
เสินสื่อสำดับที่หนึ่งถามกลับด้วยเสียงเรียบเฉย
จิ้นอวิ๋นไหล่หลับตาลง ในที่สุดก็พูดออกมาอย่างหมดกำลังใจว่า
“ใช่…ข้าตั้งใจช่วยนาง ประตูแดนสวรรค์จะเปิดเพียงหนึ่งปีเท่านั้น หากก่อนวันหมดกําหนดจะมาถึงนางยังไม่สามารถบรรลุค่ายกลทั้งหมดบนเส้นทางแห่งดวงดาวและเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์เพื่อบรรลุขั้นเทพได้ เช่นนั้นนางก็ต้องรออีกหนึ่งหมื่นปี ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่นางยังติดอยู่ในค่ายกลเหล่านั้น ข้า…ข้าแค่คิดว่าพรสวรรค์ของนางไม่ธรรมดา จึงไม่อยากให้นางต้องรอนานเช่นนั้น มันช่างน่าเสียดายจริงๆ…”
“ในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ มีใครที่ไม่ได้รอคอยมาเช่นนี้บ้าง”
เสินสื่อลำดับที่หนึ่งหัวเราะเบาๆ ที่อยากจะได้เห็น ราวกับได้ยินเรื่องตลกอันใดบางอย่าง
“เซียวหรานติดอยู่ในค่ายกลสุดท้ายก็อยู่มานานถึงสามหมื่นปี ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะช่วยเขาได้”
จิ้นอวิ๋นไหล่ย่อมฟังออกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเสินสื่อลำดับที่หนึ่ง
แต่…เซียวหรานก็คือเซียวหราน ส่วนมู่หยาเฟิงนั้นต่างออกไป
“เสินสื่อลำดับที่หนึ่ง ตั้งแต่ข้าดูแลเส้นทางแห่งดวงดาวมา ยังไม่มีใครสามารถผ่านเส้นทางนี้จนสำเร็จและเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้เลย เวลานี้มันช่างยาวนานเกินไป…ปรมาจารย์หลายคนได้สูญเสียความเชื่อมั่นไปไม่น้อย แม้แต่คนที่คิดจะลองก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…”
“นั่นเป็นเพราะพวกเขามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ จึงไม่มีคุณสมบัตินี้ในการเข้าสู่ตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ ในปีนั้นเจ้าก็ผ่านบนเส้นทางแห่งดวงดาวอย่างราบรื่นและกลายเป็นเสินสื่อลำดับที่เจ็ดแล้วไม่ใช่หรือ”
จิ้นอวิ๋นไหล่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แต่ตอนนั้นมันเป็นเพราะว่า…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่เยียบเย็นจ้องมองมาที่ตน จิ้นอวิ๋นไหล่ก็ตกตะลึงและรีบกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปในทันที
สักพักหนึ่งเขาจึงพูดขึ้น
“เรื่อง…เรื่องนี้เป็นอวิ๋นไหล่ที่ทำผิดพลาด เสินสื่อลำดับที่หนึ่งจะลงโทษอย่างใด อวิ๋นไหล่ก็น้อมรับ แต่…มีบางคำที่ไม่พูดออกมาก็รู้สึกอึดอัดใจ”
“มู่หยาเฟิงเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเทียบได้ หากแม้แต่นางยังทำไม่ได้ คนอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าต้องเลือกช่วยใครสักคนเพื่อบรรลุขั้นเทพ ข้าก็ยังคงเลือกช่วยนาง”
“ท่านก็ทราบดีว่าถึงสถานการณ์ของค่ายกลบนเส้นทางแห่งดวงดาว ยิ่งเข้าใกล้จุดสุดท้ายมากเท่าไรก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น หากไม่มีพรสวรรค์และความสามารถที่เพียงพอ ต่อให้มีคนชี้แนะก็ไม่อาจสำเร็จได้ ข้ายอมรับว่าข้าได้ช่วยมู่หยาเฟิง แต่นางสามารถสำเร็จได้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของตัวนางเอง ยิ่งไปกว่านั้นพูดอย่างตรงไปตรงมาที่ข้าให้คำแนะนำบางอย่างกับนาง ยังไม่ละเอียดเท่าคำอธิบายในภาพทมิฬสิ้นอัคคีด้วยซ้ำ ซั่งกวนเยว่สามารถอ่านภาพทมิฬสิ้นอัคคีได้ เหตุใดมู่หยาเฟิงจะทำเช่นเดียวกันไม่ได้เล่า?”
ตั้งแต่แรกเริ่มแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีความคิดเช่นนี้
ในด้านหนึ่งเพราะเขามองมู่หยาเฟิงในทางที่ดีอย่างมาก และคิดว่าอุปสรรคเหล่านี้ไม่น่าจะยากสำหรับนาง อีกด้านหนึ่ง เขาเองก็ไม่ได้มีแผนการที่จะช่วยเหลือนางตั้งแต่แรก
แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้
ทางด้านมู่หยาเฟิงยังไม่สามารถบรรลุค่ายกลได้ ยังติดอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานจนไม่มีท่าทีว่าจะก้าวต่อไปได้แม้แต่น้อย
กลับกลายเป็นฉู่หลิวเยว่ที่ใช้ประโยชน์จาก ‘ภาพทมิฬสิ้นอัคคี’ จนก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และได้เข้าสู่เขตค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉู่หลิวเยว่อาจจะแซงหน้ามู่หยาเฟิงได้จริงๆ
และนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จิ้นอวิ๋นไหล่ต้องการจะเห็น
เพราะไม่มีตราสัญลักษณ์แห่งสายเลือด ตั้งแต่แรกจิ้นอวิ๋นไหล่ก็มีอคติต่อฉู่หลิวเยว่ และเชื่อมาโดยตลอดว่านางคงจะอยู่ในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นานและต้องจากไปในไม่ช้า
ใครจะรู้ว่านางไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่กลับยังสร้างเรื่องมากมายขึ้นจนกลายเป็นคนสำคัญที่ได้รับความสนใจในพระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ไปเสียแล้ว
ถ้าทำให้นางเป็นที่หนึ่งได้จริงๆ ไม่เพียงแต่มู่หยาเฟิงจะไม่พอใจแล้ว จิ้นอวิ๋นไหล่เองก็คงรู้สึกเสียหน้า
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่สามารถบรรลุขั้นเทพได้ ตราบใดที่นางแสดงฝีมือเหนือกว่ามู่หยาเฟิง คนก็ย่อมพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และจิ้นอวิ๋นไหล่เป็นผู้ดูแลเส้นทางแห่งดวงดาวย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นเช่นไร
ทุกคนจะได้เห็นว่า ผู้ที่เขาให้ความสำคัญมาโดยตลอด แท้จริงแล้วไม่ได้โดดเด่นอันใดมากนัก ในทางกลับกัน ฉู่หลิวเยว่ที่โดนดูถูกและเยาะเย้ยตั้งแต่แรก กลับเอาชนะได้อย่างง่ายดายในทุกด้าน!
เพียงแค่คิดถึงฉากนั้น จิ้นอวิ๋นไหล่ก็รู้สึกยากที่จะยอมรับได้
ดังนั้นเมื่อมู่หยาเฟิงมาขอร้องเขา หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง เขาก็ตัดสินใจตอบรับ
และการแสดงออกของนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
เดิมที่คิดว่าทุกอย่างจะดําเนินไปอย่างราบรื่น ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้จะทําให้เสินสื่อลำดับที่หนึ่งตกตะลึงได้
สินสื่อลำดับที่หนึ่งฟังอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“พูดจบแล้ว?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ถอนหายใจยาวออกมา
“พูดจบแล้ว ขอรับ”
“ดูเหมือนเจ้ายังคิดว่าตนเองไม่ได้ทำอันใดผิด”
เสียงของเสินสื่อลำดับที่หนึ่งเรียบเฉย แฝงไปด้วยความเย็นชาและไร้ความรู้สึก
“จิ้นอวิ๋นไหล่ ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมากมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ดูเหมือนเจ้ากลับโง่เขลายิ่งนี้ มาถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือว่า ‘ภาพทมิฬสิ้นอัคคี’ ร้านเจินเป่าเก๋อเป็นฝ่ายมอบให้ซั่งกวนเยว่?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าและอุทานขึ้นในทันที
“อันใดนะ!”
“ร้านเจินเป่าเก๋อเป็นฝ่ายมอบให้ แต่ที่เจ้าจะช่วยมู่หยาเฟิง ดูเหมือน…จะเป็นคนละเรื่องกันกระมัง?”