ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2321 เข้าสู่สุสานสังหารเทพอีกครั้ง
ตอนที่ 2321 เข้าสู่สุสานสังหารเทพอีกครั้ง
………………..
จิ้นอวิ๋นไหล่ยืนอยู่ที่เดิมและรู้สึกงุนงงอยู่เป็นเวลานาน
ในใจของเขาตกอยู่ในความสับสนและวุ่นวายไปหมด
ร้านเจินเป่าเก๋อ…เป็นฝ่ายเสนอให้อย่างนั้นหรือ
“นั่นหมายความว่า…”
ไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาก็นึกอันใดออกจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาของเขาแสดงความตกใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เสินสื่อสำดับที่หนึ่ง ข้า…”
มาถึงตอนนี้แล้ว เขาเพิ่งจะรู้ว่าตนเองทำอันใดผิดพลาด!
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดแล้วว่าเหตุใดร้านเจินเป่าเก๋อถึงทำเช่นนี้
เขารู้เพียงว่าหากครั้งนี้พลาดไปแม้เพียงนิดเดียว ตัวเขาเองก็อาจต้องสูญเสียทุกอย่างไป!
“ข้าจะไปเอาภาพแผนที่ค่ายกลที่มอบให้มู่หยาเฟิงคืนมาเดี๋ยวนี้!’”
เสินสื่อสำดับที่หนึ่งกลับถามขึ้นในทันทีว่า
“เจ้ามอบวิธีการบรรลุค่ายกลทั้งหมดให้กับนางแล้วหรือ”
จิ้นอวิ๋นไหล่กลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก แต่ลำคอกลับยังคงรู้สึกตึงแน่น
ปฏิกิริยาของเขาเช่นนี้เมื่ออยู่ในสายตาของเสินสื่อลำดับที่หนึ่งย่อมเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
“ใช่ขอรับ ในเมื่อตัดสินใจช่วยแล้ว ย่อมต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
น้ำเสียงของเสินสื่อลำดับที่หนึ่งฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ
สิ่งนี้ยิ่งทำให้จิ้นอวิ๋นไหล่รู้สึกประหม่าขึ้น
“ดีเลย เจ้าก็เบิกตาให้กว้างแล้วคอยดูให้ดีว่ามู่หยาเฟิงผู้นั้น ในสถานการณ์ที่เจ้าช่วยเหลือเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะสามารถบรรลุขั้นเทพได้หรือไม่”
จิ้นอวิ๋นไหล่รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
เขาอยากจะแก้ตัวสองสามคำ แต่กลับพูดอันใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ก๊อกๆ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“เสินสื่อลำดับที่หนึ่ง ท่านอยู่หรือไม่”
นั่นเป็นเสียงของซูจิ้ง
วันนี้บังเอิญที่นางไม่ได้ไปยอดเขาโอสถพอดี ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว นางจึงรีบมาที่นี่ในทันที
และเป็นคนแรกที่มาถึง
ขณะที่จิ้นอวิ๋นไหล่กำลังจะพูด ก็เห็นภาพเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าหายไปอย่างกะทันหัน!
“เสินสื่อสำดับที่…”
เดิมทีเขาคิดจะรั้งไว้ แต่เขาก็หายไปเสียแล้ว
เป็นเพียงพลังปราณของเสินสื่อลำดับที่หนึ่ง จะมาหรือไปได้อย่างอิสระ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และลูบหน้าตนเองอย่างแรง
ตลอดหลายปีที่เขาอยู่ในตำแหน่งเสินสื่อลำดับที่เจ็ด เขาระมัดระวังตัวมาโดยตลอด มีเพียงครั้งนี้ที่เขาปล่อยให้อารมณ์ชักนำ ช่วยเหลือมู่หยาเฟิงโดยไม่ปฏิบัติตามกฎ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเสินสื่อลำดับที่หนึ่งจับได้พอดี
แม้ว่าเสินสื่อลำดับที่หนึ่งจะไม่ได้ลงโทษเขาโดยตรง แต่กลับทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่าเดิม
เขาไม่อาจเข้าใจความคิดของท่านผู้นั้นได้เลยจริงๆ
เช่นนี้เขาคิดออกจากการเก็บตัวแล้วอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ไม่มีอันใดที่พอจะพูดได้เลย
แต่ประเด็นสำคัญคือช่วงนี้เกิดเรื่องมากมายที่พระราชวังมายาศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดท่านผู้นั้นถึงเลือกจัดการเขาก่อนเล่า
การช่วยมู่หยาเฟิงทุจริตในเรื่องนี้ จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก
“เสินสื่อสำดับที่?”
ซูจิ้งรออยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากข้างในจึงขานเรียกอีกครั้ง
เอี๊ยดดด
ประตูห้องถูกเปิดออก
จิ้นอวิ๋นไหล่ปรากฏตัวที่หลังประตู
เมื่อซูจิ้งมองเห็นเขาจึงมองลอดเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ตัว
“เสินสื่อสำดับที่หนึ่งไปแล้ว”
จิ้นอวิ๋นไหล่พูดด้วยเสียงเรียบเย็นว่า
“ท่านนั้นมาจริงๆ หรือ”
สีหน้าของซูจิ้งตกตะลึง
“เขายอมออกจากการเก็บตัว? ไม่ใช่สิ เหตุใดเพิ่งจะออกมา ก็มาหาเจ้าในทันที?”
จิ้นอวิ๋นไหล่ไม่อยากพูดกับนางมากนัก จึงตอบอย่างขอไปทีว่า
“เสินสื่อลำดับที่หนึ่งไม่ได้มาด้วยตนเอง เป็นเพียงพลังปราณที่มาเพื่อถามข้าบางเรื่องเท่านั้น”
“สีหน้าของซูจิ้งผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่
“มีเรื่องอันใดถึงทำให้เสินสื่อสำดับที่หนึ่งรีบร้อนได้เช่นนี้”
จิ้นอวิ๋นไหล่เหลือบมองนางครู่หนึ่ง
“เจ้ามาที่นี่เพื่อถามแค่นี้หรือ เช่นนั้นเจ้ากลับไปได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็ปิดประตูอีกครั้ง
ปัง!
ซูจิ้งคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมาเช่นนี้ จนตกใจถอยหลังไปครึ่งก้าว
นางแค่คิดว่าเสินสื่อลำดับที่หนึ่งออกจากการเก็บตัว ช่างน่าประหลาดเกินไปจึงได้มาถามก็เท่านั้น?
นี่มันท่าทีอันใดกัน!
หากไม่ได้กังวลว่าจิ้นอวิ๋นไหล่มีสถานะสูงกว่า นางคงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เป็นแน่!
ซูจิ้งจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและหมุนตัวเดินออกไป
หลังจากเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นางก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทลง
เมื่อครู่…สีหน้าของจิ้นอวิ๋นไหล่ดูแย่มาก
เกิดเรื่องไม่พอใจอันใดขึ้นระหว่างเขากับเสินสื่อลำดับที่หนึ่ง?
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดเสียงดังขึ้นว่า
“เสินสื่อลำดับที่เจ็ด ได้ยินว่ามู่หยาเฟิงบรรลุค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ถึงหกค่ายกลแล้ว ท่านจะไม่ไปดูหน่อยหรือ”
ปัง!
จิ้นอวิ๋นไหล่ทุบอันใดบางอย่างจนแตกกระจายอย่างกะทันหัน
ทำให้หัวใจของซูจิ้งสั่นระรัว
เขาเป็นอันใดไป?
มู่หยาเฟิงเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ยังทำผลงานได้ดี เหตุใดเขาถึงยังโกรธขนาดนี้กันเล่า?
เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี ซูจิ้งกัดฟันแน่นและหันหลังเดินจากไปในที่สุด
หลังจากนั้น ก็มีเสินสื่ออีกหลายคนเข้ามาเพื่อสืบหาความจริง แต่ทั้งหมดถูกจิ้นอวิ๋นไหล่ส่งกลับไปด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
…
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวออกจากตำหนักมายาศักดิ์สิทธิ์ และข้ามทะเลสีมรกตดำ นางตั้งใจลดความเร็วลง
เสียดายที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอันใดเกิดขึ้น
หลังจากนั้นทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปยังสุสานสังหารเทพอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเที่ยงของวันที่สอง ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินทามาถึงที่หมายอย่างราบรื่น
พวกเขาเดินผ่านป่าและเข้าไปในสุสานสังหารเทพ
เมื่อมองออกไปไกลๆ ที่นี่ทั้งกว้างใหญ่รกร้าง ว่างเปล่าและหนาวเหน็บไม่ต่างจากเมื่อก่อน
เพียงแต่ความเย็นเยียบและแรงกดดันที่มิอาจอธิบายได้ดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ในอากาศยังคงมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยคลุ้งอยู่
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หลังจากไม่ได้กลับมานาน ดูเหมือนว่าที่สุสานสังหารเทพ…จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย
“พวกเขาน่าจะอยู่ด้านในแล้ว”
หรงซิวมองออกไกลๆ ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
จากนั้น ทั้งสองเดินจับมือกันมุ่งหน้าไป
…
ในขณะเดียวกัน ลึกเข้าไปในสุสานสังหารเทพ ชีหานกำลังถือกระบี่ยาวในมือและจ้องมองทั้งสองคนข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ด้านหลังเขามีชายหนุ่มที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดนั่งอยู่ คนนั้นคือลั่วเฟิง
จิ่วหลงหัวเราะดังขึ้น
“แค่พวกเจ้าสองคน ก็คิดว่าจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ”
………………..