ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2322 นางมาแล้ว
ตอนที่ 2322 นางมาแล้ว
………………..
ด้านหน้าของพวกเขามีป้ายหลุมศพที่แตกหักกระจายเป็นวงกว้าง
แรงกดดันอันว่างเปล่าและความโศกเศร้าค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจากตรงนั้นอย่างช้าๆ
ที่นี่…คือสุสานของเทพศักดิ์สิทธิ์!
จริงๆ แล้วชีหานและลั่วเฟิงมาถึงสุสานสังหารเทพได้สักพักหนึ่งแล้ว ทั้งสองใช้เวลาและพลังไปไม่น้อยกว่าจะมาถึงที่นี่
แต่ไม่คาดคิดว่าในเวลานี้ จิ่วหลงกับสีเยี่ยนก็มาถึงแล้วเช่นกัน
เมื่อพวกเขามาถึงสุสานสังหารเทพ ก็สั่งให้ทุกคนออกไปทันทีโดยไม่ลังเล
หลายวันที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนทุกคนในสุสานสังหารเทพล้วนถูกบังคับให้ถอนตัวออกไป
ด้วยความจำใจ ทุกคนจึงต้องเลือกยอมทำตาม
จิ่วหลงและสีเยี่ยนมุ่งหน้าเข้าไปด้านในจากตำแหน่งทางสุสานสังหารเทพ จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่นี่และพบกับชีหานและลั่วเฟิงที่กำลังรออยู่ด้านหลุมสุสาน
แรงกดดันจากสุสานของเทพศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยตามกาลเวลา
เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองจึงตัดสินใจรออยู่ที่นี่จนกว่าแรงกดดันนี้จะอ่อนกำลังลงที่สุดและค่อยเข้าไป
ตอนที่จิ่วหลงกับสีเยี่ยนมาถึง ชีหานและลั่วเฟิงได้รออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองคนก็ถูกไล่ออกมาเช่นกัน
แต่พวกเขาไม่ยอม
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อกันอยู่พักหนึ่ง จิ่วหลงและลั่วเฟิงก็เริ่มสู้กัน
เมื่อต่อสู้กันอยู่หลายกระบวนท่า ลั่วเฟิงก็ได้รับบาดเจ็บและพ่ายแพ้ ในขณะนั้นชีหานชักกระบี่ออกมาปกป้องเขาที่ด้านหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้จิ่วหลงลงมือได้
แน่นอนว่าพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมากเช่นนี้ จิ่วหลงไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย
ทว่าเป็นแค่เทพขั้นสูง มีอันใดน่าสนใจกัน
จิ่วหลงมองทั้งสองคนด้วยท่าทีเหยียดหยามพลางพูดขึ้น
“ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าเบื่อหน่ายที่จะสู้กับพวกเจ้าต่อแล้ว ข้าจะนับถึงสาม หากพวกเจ้ายังไม่ไป อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน”
ชีหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“สุสานสังหารเทพไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของใคร ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าย่อมสามารถเข้ามาได้ แต่เมื่อพวกเจ้ามาถึงกลับขับไล่ให้คนทั้งหมดออกไป มันไม่เกินไปหน่อยหรือ!”
“…”
จิ่วหลงชี้นิ้วขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจชีหานกับลั่วเฟิงเลยด้วยซ้ำ และเขาไม่อยากจะโต้เถียงกับพวกเขาอีกต่อไป
อย่างใดเขาได้ให้คำเตือนที่พวกเขาสมควรได้รับไปแล้ว
หากพวกเขายังยืนกรานไม่ฟัง เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้
ลั่วเฟิงกระแอมไอและค่อยๆ เช็ดรอยเลือดที่มุมปาก มุมปากกระตุกขึ้นโดยปราศจากรอยยิ้ม
“ชีหาน ไม่ต้องพูดกับพวกเขาให้มากความ หากพวกเขาจะพูดถึงเหตุผลคงไม่ทำเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่แรกหรอก”
สีเยี่ยนเหลือบมองทั้งสองคนและพูดอย่างช้าๆ ว่า
“พูดถึงเหตุผล มิน่าพวกเจ้าไม่รู้ว่าในโลกนี้ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง”
“สอง”
จิ่วหลงเลิกคิ้ว
สองคนนี้ไม่กลัวตายเลยจริงๆ
น่าเสียดายที่การยืนหยัดโดยไม่มีพลัง นั่นเป็นเพียงความดื้อรั้นที่โง่เขลา ไม่เพียงแต่ไม่มีความหมายใดๆ แต่ยังจะนำความยุ่งยากมาให้ตนเองอีกด้วย
เสินสื่อลำดับที่หนึ่งเพียงแต่สั่งให้พวกเขาสองคนมาหาเนื้อเพลงฉินส่วนสุดท้าย แต่กลับไม่ได้บอกตำแหน่งชัดเจนว่าอยู่ที่ใด
ไม่ว่าอันใดก็เกิดขึ้นได้ เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่าแก้กับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
แม้ว่าการทําเช่นนี้จะค่อนข้างยุ่งยาก แต่ก็ช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้บ้าง โดยรวมแล้วก็นับว่าคุ้มค่า
คนเหล่านั้นที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ค่อนข้างเชื่อฟัง หรือจะเรียกอีกอย่างว่ารู้จักกาลเทศะ
เมื่อพลังของจิ่วหลงและสีเยี่ยนที่เหนือกว่าพวกเขาอย่างมาก จึงยอมหยุดและค่อยๆ ถอนตัวออกไป
มีเพียงสองคนนี้ ที่ดื้อรั้นยิ่งนัก
“สาม”
จิ่วหลงตะโกนเลขสุดท้ายออกมาพลางส่ายหัวเล็กน้อยและยกมือขึ้น
“อยากตายในน้ำมือของข้า ก็นับว่าพวกเจ้าทั้งสองโชคดีนัก”
เดิมทีเขาไม่อยากให้เลือดของเทพขั้นสูงมาแปะเปื้อนด้วยน้ำมือของตนเอง แต่เสียดายที่สองคนนี้ไม่ฉลาดพอ
พลังปราณเทพศักดิ์สิทธิ์รวมตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในฝ่ามือของจิ่วหลง หลังจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง!
กระบี่ยาวเล่มนั้นคมกริบและสว่างจ้าดุจหิมะ ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ ภายใต้แสงแดดสะท้อนเป็นประกายวาววับและเย็นเยือก
จากนั้นเขายกกระบี่ขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและฟาดลงทันที!
กระบี่ฟาดลงอย่างไร้เสียง แต่ทุกที่ที่มันผ่านไป พื้นที่กลับถูกแยกออกและยุบตัวลงในทันที!
รอยแยกของมิติสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น พลังอันบ้าคลั่งพุ่งทะลักออกมาอย่างรุนแรง!
ชีหานจับกระบี่ในมือแน่นขึ้น
ขณะที่เขากำลังจะลงมือ กลับพบว่าตนเองไม่สามารถขยับตัวได้…แรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
ทำให้เขาไม่มีกำลังที่จะตอบโต้กลับได้แม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นกระบี่ของของจิ่วหลงกำลังจะฟาดลงมาจากฟ้าเพื่อสังหารชีหานและลั่วเฟิง
รอยเลือดก็ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าผากของชีหานในทันที!
นั่นคือปราณกระบี่ที่รุนแรงอย่างยิ่ง มันทะลวงผ่านการป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดาย!
“ตายสะ”
กระบี่เล่มนั้นพุ่งเข้าหาชีหานด้วยความเร็วที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิม!
อย่างใดก็ตาม ในขณะนั้นเสียงเสียงแหลมคมดังทะลุอากาศมาจากระยะไกล!
ฟึบ!
ทันใดนั้นแสงกระบี่สีทองอร่ามและสีเขียวเข้มตัดสลับกัน ได้พุ่งทะลวงผ่านเมฆและลมมาจากฟ้า!
เคร้ง…กึก!
แสงกระบี่ปะทะเข้ากับกระบี่ยาวของจิ่วหลง จากนั้นก็ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วและขูดกันอย่างแรง!
เพียงชั่วครู่แสงไฟกระจายไปทั่วทุกทิศทาง!
กระบี่ของจิ่วหลงกลับถูกสะบัดและลอยขึ้นไปกลางอากาศ!
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จิ่วหลงตื่นตกใจไปครู่หนึ่ง และรีบยกมือขึ้นเรียกดาบของตนกลับมาในทันที
เมื่อกระบี่กลับมาอยู่ในฝ่ามือ มันยังคงสั่นอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าพลังการปะทะเมื่อครู่นั้นรุนแรงเพียงใด!
เขาขมวดคิ้วและหันไปมอง
นั่นคือกระบี่ยาวที่รุนแรงอย่างยิ่ง
ครึ่งหนึ่งเป็นสีทองสว่าง อีกครึ่งเป็นสีเขียวเข้ม ทั้งสองผสานกันอย่างสมบูรณ์ส่องประกายงดงามและทรงพลัง!
หรือว่า…
ในขณะที่จิ่วหลงและสีเยี่ยนยังตกตะลึงและสับสน แต่ชีหานและลั่วเฟิงกลับสัมผัสถึงพลังปราณที่คุ้นเคยอย่างยิ่งจากกระบี่เล่มนั้น
ทั้งสองสบตากันอย่างรวดเร็ว และต่างเห็นความตื่นเต้นและดีใจในดวงตาของอีกฝ่าย
“จิ่วหลงหันไปมองยังทิศทางที่กระบี่พุ่งมา และตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า”
“ใคร?”
เสียงที่ใสกังวานไพเราะลอยมากับสายลม
จิ่วหลงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจำได้ว่าน้ำเสียงนี้คุ้นเคยอย่างมาก
ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของเขาอย่างฉับพลัน
“ซั่งกวนเยว่?”
ทันทีที่สิ้นเสียง แม่นางในชุดแดงก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
รูปร่างเพรียวบาง สง่างามหาที่เปรียบมิได้
เส้นผมสีดำปลิวไสว ชายกระโปรงพริ้วสะบัด ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ดวงตาเป็นประกายโค้งงดงามดั่งพระจันทร์เสี้ยว ราวกับมีแสงดาวพร่างพรายทั่วท้องฟ้า
สีหน้าของจิ่วหลงหมองลง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”
ชีหานกับลั่วเฟิงกลับไม่สามารถกดความรู้สึกในใจได้อีกต่อไป จึงตะโกนออกมาพร้อมกันว่า
“นายท่าน!”
ฉู่หลิวเยว่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนและสำรวจดูพวกเขาก่อนหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงมากนัก นางจึงโล่งใจและพูดด้วยรอยยิ้มขึ้นว่า
“โชคดีที่ไม่ได้มาช้าไป”
จิ่วหลงขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
“พวกเขาทั้งสองคน เป็นลูกน้องของเจ้า?”
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมา เก็บผมที่ตกลงมาไว้หลังใบหู นางยกมือขึ้นเบาๆ กระบี่ดาราเลือนก็กลับมาอยู่ในฝ่ามือของนางทันที
นางยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย
“ใช่นะสิ”